ในชีวิตนี้ เราเจอคนมาเยอะมาก

ในชีวิตนี้ เราเจอคนมาเยอะมาก ทุกคนก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง บางคนมาแบบจัดเต็มเหมือนหนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์ บางคนก็มาแบบเงียบๆ ให้เราต้องนั่งถอดรหัสกันเอาเอง



แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับใครบางคนได้ชัดมาก มันไม่ใช่เพราะเราไปนั่งฟังเรื่องของเขาทุกวัน ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา และไม่ได้มีเรื่องให้คุยกันตลอดเหมือนคู่รักในนิยาย แต่มันคือความรู้สึกที่อธิบายยากมากจริงๆ เหมือนตอนที่เรานั่งอยู่ในห้องมืดๆ แล้วมีแค่แสงริบหรี่ส่องลอดเข้ามา แต่กลับทำให้เราเห็นทุกอย่างชัดขึ้นกว่าตอนมีแสงไฟปกติเสียอีก

ไอ้แสงริบหรี่ที่ว่านี่ ไม่ใช่แสงแห่งความรักโรแมนติกอะไรที่เราเคยเห็นในหนังเลยนะ แต่มันคือแสงที่บอกว่า “เธอคือฉัน”

ไม่ใช่เพราะเราสองคนหน้าเหมือนกัน หรือคิดเหมือนกันไปทุกเรื่อง แต่มันเป็นเพราะในความเงียบ ในความเจ็บปวด หรือแม้แต่ในห้วงเวลาที่สับสนของเขา เรากลับมองเห็นตัวเองในนั้นอย่างน่าประหลาดใจ

ทุกคนเคยรู้สึกแบบนี้ไหม? ความรู้สึกที่มันไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย ไม่ต้องพยายามทำให้มันเป็นความรัก หรือมิตรภาพแบบที่สังคมกำหนด แต่มันเป็นเพียง ตถตา ซึ่งในทางพุทธศาสนาแปลว่า “ความเป็นเช่นนั้นเอง” คือมันเป็นของมันอยู่แบบนั้น ไม่ต้องปรุงแต่ง หรือบังคับให้มันเป็นอะไรอื่น

ความผูกพันบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารตลอดเวลา เหมือนอย่างที่นักฟิสิกส์เขาว่ากันเรื่อง Quantum entanglement ที่สองอนุภาคจะยังคงส่งผลถึงกันได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม เราว่าจิตวิญญาณบางดวงก็อาจจะเชื่อมกันด้วยวิธีแบบนี้แหละ

ความสัมพันธ์ประเภทนี้มันลึกซึ้งกว่าที่เราเคยคิดไว้มากนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของการเติมเต็ม แต่มันคือการที่เราทั้งคู่ต่างก็ “มีอยู่” ในโลกของกันและกัน เพียงพอแล้วโดยที่ไม่ต้องมีอะไรเพิ่มเติม

บางที การได้พบกับคนที่ทำให้เราเห็นตัวเองในอีกมุมหนึ่ง ก็คือการได้เจอครูคนสำคัญของชีวิต

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม