เวลาเราเดินในกรุงเทพฯ สิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดไม่ใช่ตึกสูงหรอก
เวลาเราเดินในกรุงเทพฯ สิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดไม่ใช่ตึกสูงหรอก แต่เป็นเวลาที่เห็นคนยืนหลบแดดอยู่ใต้เงาป้ายรถเมล์เล็กๆ ทั้งที่รอบตัวเต็มไปด้วยคอนกรีตเป็นพันล้านบาท มันทำให้เราตั้งคำถามว่า… เมืองนี้สร้างพื้นที่ให้คนหายใจจริงๆ หรือแค่สร้างให้เราจ่าย?
แล้วอยู่ดีๆ ข่าวก็โผล่มา—ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ประกาศเปิด Roof Park วันที่ 3 กันยายนนี้ พื้นที่สีเขียวลอยฟ้า 7 ไร่ ใจกลางเมือง ที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในไทย เชื่อมต่อสวนลุมพินีได้ไร้รอยต่อ ฟังดูเหมือน “โอเอซิสบนคอนกรีต” แต่สิ่งที่เราสะดุดคือ เขาเลือกปลูกพรรณไม้ไทย 100% ไม่ใช่เอาต้นซากุระหรือเมเปิ้ลมาโชว์ แต่คือการประกาศเสียงดังๆ ว่า “นี่คือกรุงเทพฯ”
คำว่า “สพฺพปาปสฺส อกรณํ” (ละเว้นความชั่วทั้งปวง) ถ้าแปลในภาษาคนเมืองอาจไม่ใช่เรื่องบาปบุญ แต่คือการเลิกสร้างเมืองที่บีบคนให้เป็นแค่ผู้บริโภค และหันมาออกแบบพื้นที่ที่คนทุกวัย ทุกฐานะ ใช้ได้จริง อันนี้มันเป็น เจตนา ที่สำคัญกว่าโครงการราคา 4.6 หมื่นล้านเสียอีก
เรามองในเชิงจิตวิทยา เมืองที่ไม่มีพื้นที่สีเขียวก็เหมือนสมองที่ไม่ได้พัก—มันเครียดสะสม แล้วสุดท้ายคนก็หาทางระบายด้วยการบ่น ดราม่า หรือหนีออกนอกเมือง แต่ถ้าเมืองมี “Roof Park” แบบนี้ มันไม่ใช่แค่สวยงาม แต่มันคือระบบนิเวศของใจ ที่บอกเราว่าเมืองก็หายใจได้ ถ้าเจ้าของเมืองยอมเปิดปอด
และที่น่าสนใจคือ บริษัท วิมานสุริยา จำกัด กับ ดุสิตธานี และ เซ็นทรัลพัฒนา ไม่ได้แค่สร้างตึกขายห้องขายของ แต่สร้างแลนด์มาร์กที่ทุกคนเข้าได้ ทั้งแขกโรงแรม ลูกบ้าน พนักงานออฟฟิศ หรือคนที่เดินทางมาด้วยรถเมล์สาย 77 ที่ติดเป็นชั่วโมงก็ยังขึ้นไปเดินได้ถ้าอยาก มันคือการคืนพื้นที่สาธารณะในเวอร์ชันที่หรูแต่เข้าถึงง่าย
สุดท้าย เราว่าคำถามจริงๆ ไม่ใช่ว่า “สวนลอยฟ้านี้สวยแค่ไหน” แต่คือ “ทุกคนจะใช้มันอย่างไร” เพราะต่อให้เขาสร้างให้ใหญ่ที่สุดในไทย ถ้าเราไม่ใช้ให้คุ้ม ไม่แบ่งปัน ไม่เปิดใจ เมืองก็จะกลับไปหายใจติดขัดเหมือนเดิม
บางที กรุงเทพฯ อาจไม่ได้ต้องการตึกที่สูงที่สุดในอาเซียน แต่อาจต้องการแค่ที่นั่งเล่นร่มๆ สักที่ ที่เรากับทุกคนสามารถมองฟ้าแล้วรู้สึกว่า เมืองนี้ยังมีที่ว่างให้ใจเราอยู่จริงๆ
บางครั้ง พื้นที่ที่หายใจได้ ไม่ได้อยู่ในปอด แต่มันอยู่ในวิธีที่เราเลือกจะใช้ชีวิตร่วมกับทุกคน.
วิเคราะห์ Dusit Central Park: จาก "ปอด" ของเมืองสู่บทเรียนการออกแบบเชิงจิตวิทยาและสังคม
โครงการ Dusit Central Park นั้นสะท้อนถึงประเด็นสำคัญหลายอย่างที่เกินกว่าแค่การมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ นี่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เพียงอย่างเดียว สู่การสร้างพื้นที่ที่มี คุณค่าทางสังคม (Social Value) และ ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของคนเมือง
1. การออกแบบเชิงสุนทรียภาพ (Aesthetic) และเชิงจิตวิทยา (Psychology)
การเลือกปลูก พรรณไม้ไทย 100% ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ:
สร้างเอกลักษณ์และความเป็นท้องถิ่น (Sense of Place): ในขณะที่หลายเมืองใหญ่ทั่วโลกเลือกใช้พรรณไม้จากต่างถิ่นเพื่อสร้างความแปลกใหม่ แต่ Dusit Central Park เลือกใช้ต้นไม้ท้องถิ่นอย่างที่ทุกคนสังเกต ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจใน "บริบทของเมือง" และสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของกรุงเทพฯ โดยตรง
การออกแบบเพื่อลดความเครียด (Stress Reduction): การมีพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองช่วยลดความเครียดที่สะสมจากชีวิตในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและมลพิษ ในทางจิตวิทยา พื้นที่สีเขียวถูกมองว่าเป็น "Restorative Environment" หรือสภาพแวดล้อมที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ ทำให้สมองได้พักผ่อนและลดภาวะ "Urban Fatigue" (ความเหนื่อยล้าจากชีวิตในเมือง) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การออกแบบเชิงสังคม (Social Design) และความยั่งยืน (Sustainability)
แนวคิดของโครงการที่เปิดให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้นั้น เป็นการตอบโจทย์ปัญหาใหญ่ของการพัฒนาเมืองในปัจจุบัน:
จากพื้นที่ส่วนตัวสู่พื้นที่สาธารณะ (Private to Public Space): โดยปกติแล้ว โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์มักจะสร้างกำแพงทางกายภาพและจิตวิทยาเพื่อจำกัดการเข้าถึง แต่ Roof Park แห่งนี้ทลายกำแพงเหล่านั้นลงและสร้าง "Third Place" หรือพื้นที่ที่สาม (นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน) ที่ทุกคนสามารถมาพบปะและใช้ชีวิตร่วมกันได้
การเข้าถึงที่เท่าเทียม (Equitable Access): การเชื่อมต่อกับสวนลุมพินีและเปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้ได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะลูกค้าหรือผู้พักอาศัย แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่า พื้นที่สีเขียวไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนเมืองทุกคน นี่คือการสร้าง "Inclusive City" หรือเมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วมและเท่าเทียมกัน
3. การคืน "ปอด" ให้เมืองและจิตใจ
การมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่คือการคืน "ปอด" ให้กับเมืองในเชิงกายภาพและเชิงนามธรรม:
การจัดการระบบนิเวศเมือง (Urban Ecosystem Management): พืชพรรณช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และลดอุณหภูมิในเมือง (Urban Heat Island Effect) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่โครงการขนาดใหญ่ควรให้ความสนใจ
การสร้างระบบนิเวศของใจ (Psychological Ecosystem): การมีพื้นที่ให้คนได้พัก ได้เดินเล่น และได้ "หายใจ" เป็นการสร้างสมดุลทางจิตใจให้กับคนเมือง หากคนในเมืองมีพื้นที่ให้ผ่อนคลายได้เพียงพอ ความตึงเครียดที่เคยถูกระบายผ่านการดราม่าหรือความขัดแย้งก็จะลดน้อยลง
เมื่อวิเคราะห์ความคิดเห็นจากสื่อและแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงมุมมองจากนักออกแบบและสถาปนิก สามารถสรุปได้ว่า Roof Park ของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ได้รับการตอบรับในเชิงบวกอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการออกแบบและแนวคิดที่แตกต่างจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป
ความเห็นจากประชาชนทั่วไป
ประชาชนทั่วไปในโลกออนไลน์มองว่า Roof Park เป็นโครงการที่น่ายกย่อง เพราะตอบโจทย์ความต้องการ "พื้นที่หายใจ" ในเมืองใหญ่ที่ขาดแคลนพื้นที่สีเขียวอย่างมาก ความเห็นที่เด่นชัดคือ:
ความชื่นชมในแนวคิด: ผู้คนมองว่าการสร้างสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินีได้แบบไร้รอยต่อ เป็นการคืนพื้นที่ให้แก่สาธารณะอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นแค่พื้นที่สำหรับผู้พักอาศัยหรือลูกค้าในโครงการเท่านั้น แต่ยังเปิดให้คนทั่วไปทุกเพศทุกวัยเข้าถึงได้
การสร้างอัตลักษณ์ไทย: การเลือกใช้ พรรณไม้ไทย 100% ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ที่มักจะใช้พรรณไม้จากต่างประเทศ
ความคาดหวังในอนาคต: หลายคนตั้งความหวังว่า Roof Park จะเป็น "แลนด์มาร์ก" แห่งใหม่ที่ดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะเป็นตัวอย่างให้โครงการอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่สาธารณะมากขึ้น
ความเห็นจากนักออกแบบและสถาปนิก
ในแวดวงนักออกแบบและสถาปนิก มองโครงการนี้ในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับหลักการออกแบบเบื้องหลัง:
การออกแบบชีวภาพ (Biophilic Design): นักออกแบบมองว่าการที่โครงการเลือกปลูกต้นไม้ไทยและมีองค์ประกอบของน้ำและเสียง เป็นการนำหลักการ Biophilic Design มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการออกแบบที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติ ช่วยลดความเครียดและสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี
การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design): การออกแบบทางเดินและสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับผู้ใช้รถเข็นและผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการสร้างพื้นที่ที่ ครอบคลุม (Inclusive) และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงสำหรับทุกคนในสังคม
การผสมผสานมรดกกับนวัตกรรม: สถาปนิกมองว่าตัวโครงการทั้งหมด รวมถึง Roof Park เป็นการนำมรดกทางสถาปัตยกรรมของโรงแรมดุสิตธานีเดิมมาปรับใช้กับนวัตกรรมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว เป็นการผสมผสานอดีตกับอนาคตที่น่าสนใจ
โดยสรุปแล้ว ทั้งประชาชนทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่า ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ไม่ใช่แค่โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู แต่เป็นความพยายามที่น่ายกย่องในการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและน่าอยู่ขึ้น โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่สีเขียวที่ตอบโจทย์ทั้งในเชิงสุนทรียศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สรุป
Dusit Central Park Roof Park จึงไม่ใช่แค่โปรเจกต์ราคาแพง แต่เป็นตัวอย่างของ "Urban Acupuncture" หรือการ "ฝังเข็ม" ให้กับเมืองในจุดสำคัญ เพื่อกระตุ้นให้เมืองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นการพิสูจน์ว่า "ความหรูหราที่แท้จริง" อาจไม่ใช่แค่การสร้างอาคารที่สูงที่สุด แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถยืนอยู่ใต้ร่มเงาเดียวกันและรู้สึกว่าเมืองนี้ยังมีที่ว่างให้เราอยู่จริงๆ
บางทีคำถามที่ทุกคนทิ้งท้ายไว้ว่า "ทุกคนจะใช้มันอย่างไร" อาจเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เมืองที่ดีจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะใครสร้าง แต่เพราะเราทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันในนั้นอย่างไร.



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น