ความเหงาไม่ไดดทำร้ายเราเท่าความสัมพันธ์
แต่พอเวลาผ่านไป ความเงียบก็เริ่มหนักอก เราเลยแต่งเพลง เขียนหนังสือ วาดรูป หรือบางวันก็แค่จ้องผนังและถามตัวเองว่า เออ เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ความเหงามันเหมือนน้ำหนักที่กดอยู่บนอก แต่บางทีน้ำหนักนี้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เราได้สร้างอะไรบางอย่าง
พอมีเพื่อนเข้ามา เรื่องซับซ้อนทันที เราต้องมานั่งวิเคราะห์ว่า เขาจะหักหลังเราไหม จะหนีไปไหม หรือจะหายไปเมื่อไหร่ ความกังวลเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นตั้งใจมาทำให้เรา ทุกอย่างมันเกิดจากความคาดหวังของเราเอง สมองเราชอบสร้างสถานการณ์ล่วงหน้าให้เราเครียดก่อนที่มันจะเกิดจริง หลายครั้งสิ่งที่เราโฟกัสจนเจ็บปวดที่สุด กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น
เรากลับมามองตัวเองและพบว่า ความสัมพันธ์มันไม่ได้เกี่ยวกับจำนวนเพื่อนที่เรามี แต่เกี่ยวกับการรับมือกับความไม่แน่นอนของชีวิต เวลาเพื่อนหายไป หรือคนที่เราคิดว่าสนิทกลับไม่อยู่กับเราอีกต่อไป เราร้องไห้ เสียใจ บางครั้งเจ็บจนไม่อยากทำอะไร แต่สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่ไม่มีในตำราเรียน ไม่มีใครสอน แต่เราเรียนรู้จากความจริงของชีวิตเอง
หลายครั้งที่เราได้อยู่คนเดียวก็เหมือนมีเวลาทบทวนทุกอย่าง ทั้งความคิด ทั้งความรู้สึก ทั้งความคาดหวังที่เคยมีต่อคนอื่น เราได้รู้ว่าตัวเองสามารถอยู่กับความเหงาได้โดยไม่พัง และนั่นทำให้เราแข็งแรงขึ้น ไม่ใช่แข็งแรงแบบไม่รู้สึกอะไร แต่เป็นแข็งแรงแบบเข้าใจตัวเองมากขึ้น
สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดเวลา ทุกคนมีชีวิตของเขา และเราเองก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ก่อน ความเหงาไม่ใช่ศัตรู มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น และบางครั้ง…การปล่อยวางว่าบางคนจะไม่กลับมา นี่แหละที่ทำให้เราโตขึ้นจริงๆ
ทุกคนจำไว้ว่า การมีเพื่อนไม่ใช่สิ่งผิด แต่ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเพื่อน ความเหงาไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว บางครั้งเราต้องนั่งอยู่กับมัน หายใจ ลองร้องไห้ หรือหัวเราะกับความว่างเปล่า และสักวันเราจะพบว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ แม้ในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างกาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น