วันก่อนเดินผ่านศาลพระภูมิหน้าบ้านแบบไม่ตั้งใจจะไหว้

 

วันก่อนเดินผ่านศาลพระภูมิหน้าบ้านแบบไม่ตั้งใจจะไหว้ แต่ก็ยกมือแป๊บนึงแบบเบลอๆ เหมือนร่างกายมันมี muscle memory จากการที่เคยไปยืนขอพรอยู่ทุกเย็น ขอพรแค่เรื่องเดียววนๆ อยู่นั่นแหละ ขอให้เพื่อนคนหนึ่งกลับมาคืนดีกับเรา
ก็แปลกดีที่ตอนนั้นเราเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจมากพอ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นความสม่ำเสมอของเรา ความสัมพันธ์มันจะถูกซ่อมให้เหมือนเดิม แบบ algorithm ของจักรวาลจะเห็น effort แล้ว reward จะเด้งขึ้นมาทันใจ
ผ่านมาแปดเดือน เราเริ่มรู้สึกว่า algorithm นั้นอาจจะไม่ทำงานแบบที่เราคิด
หรือไม่ก็จักรวาลอาจจะอยากให้เราไปอัปเดตเวอร์ชันความเข้าใจชีวิตเสียใหม่
เราไม่ได้ขอพรเรื่องนั้นทุกวันแล้ว ไม่ใช่เพราะไม่เชื่ออะไรอีกต่อไป แต่เพราะใจมันเริ่มสงบกับความคิดที่ว่า “ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร”
เราไม่ได้ปิดโอกาสให้เขากลับมา แต่เราก็ไม่รอเหมือนเดิม
ช่วงแรกมันก็เจ็บแสบเหมือนโดนลวดทองแดงที่ร้อนจี๋กดอยู่กลางอก แต่พอนานเข้า มันเริ่มด้าน เริ่มกลายเป็นพื้นผิวธรรมดาที่ไม่ระคายอีกต่อไป
ทุกคนรู้ไหมว่า สมองมนุษย์มีความสามารถในการ “ปรับ baseline” ทางอารมณ์ได้อย่างมหัศจรรย์
– ศัพท์ในวงการจิตวิทยาเขาเรียกว่า Hedonic Adaptation (การปรับตัวต่อความสุขหรือทุกข์ให้กลายเป็นเรื่องปกติ)
แม้จะเคยมีคนคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าขาดไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สมองเราก็ reset ระบบใหม่ ให้เราอยู่ได้แบบไม่มีเขา
เราว่านี่ใกล้เคียงกับคำว่า “อนิจจัง” (ไม่เที่ยง) ในพุทธศาสนา – ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ต่อให้วันนี้มันทรมาน อีกหน่อยก็จะกลายเป็นแค่ความเคยชิน
พอเรายอมรับความไม่แน่นอนของชีวิตได้ ก็จะเริ่มเห็นว่า step ยากมันไม่ใช่ตอนอยู่คนเดียว
แต่คือ “ตอนยังไม่ยอมรับว่าเขาไม่อยู่แล้วต่างหาก”
ซึ่งตอนนั้น...เราผ่านมาแล้ว
สิ่งที่แปลกคือ พอเราเริ่มอยู่ได้ เรากลับรู้สึกว่าเราตั้งฟิลเตอร์กับคนใหม่มากขึ้นแบบไม่รู้ตัว
– ไม่ใช่ฟิลเตอร์สีพาสเทลสวยๆ เหมือนในแอปถ่ายรูปนะ แต่เป็นฟิลเตอร์แบบสนามบินสุวรรณภูมิ: ใครจะเข้ามาในพื้นที่หัวใจ ต้องผ่านด่านตรวจสอบ 18 ชั้น
เรากลายเป็นคนที่ไม่อยากอธิบายอะไรยืดยาว ไม่อยากเริ่มจากศูนย์อีกแล้ว
ช่วงวัยกลางคนอาจจะไม่ได้เหมาะกับการหาเพื่อนใหม่เหมือนสมัยมัธยมที่แค่ชอบวงดนตรีเดียวกันก็คุยได้ยันตีสาม
เราเคยคิดว่า การมีเพื่อนคือการได้พัก
แต่ตอนนี้บางที...การอยู่คนเดียวอาจเป็นการพักที่แท้จริงกว่า
อย่างน้อยก็ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใคร ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนหายไปแบบครั้งก่อน
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เปิดใจอีกเลย
แค่ไม่ได้หวังเหมือนเดิม
เพราะใจมันรู้แล้วว่า
– ต่อให้คนบางคนไม่อยู่ต่อ เราก็ยังหายใจต่อได้
– ต่อให้ไม่มีใครฟังในบางวัน ก็ยังมีเสียงของตัวเองให้เดินตาม
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าใครกำลังรอใครอยู่ หรือกำลังปรับตัวกับการไม่มีใครอยู่
เราอยากบอกว่าทุกคนมีเวลาของตัวเองในการย่อยความสัมพันธ์
บางคนใช้วัน บางคนใช้เดือน บางคนใช้หนึ่งชีวิต
แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ทุกคนยังอยู่ตรงนี้ ยังเดินต่อ
และนั่นแหละ คือ “พร” ที่ไม่ต้องขอก็มีอยู่แล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม