ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่อย่าเสแสร้งเป็นคนอื่น
วันก่อนเราเปิดเจอประโยคหนึ่งที่ยังติดอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้
“ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่อย่าเสแสร้งเป็นคนอื่น”
ประเด็นคือ ถ้าเราเป็น “ตัวเองแบบเดิม” แล้วมันไม่เวิร์กเลย จะเอาไปชนกำแพงกี่ครั้ง ผลก็เหมือนเดิม
แล้วเราจะดันทุรังเป็นตัวเองแบบนั้นไปตลอดเหรอ หรือจริงๆ แล้ว “การเป็นตัวเอง” มันต้องหมายถึงการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นใครที่ไม่ใช่เรา
ในพุทธศาสนามีคำบาลีว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปลตรงๆ คือ “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” มันไม่ได้บอกให้เราย่ำอยู่กับที่ แต่มันเหมือนบอกว่า ถ้าจะพึ่งตัวเองจริงๆ ก็ต้องเป็นตัวเองที่เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แข็งแรงขึ้น เหมือนบริษัท Tesla ที่ไม่ได้ขายแค่รถ แต่ขายวิสัยทัศน์ว่ารถไฟฟ้าสามารถกลายเป็น Lifestyle ของคนรุ่นใหม่ได้ มันคือการ “อัปเกรดตัวเอง” ของทั้งแบรนด์และคนขับ
ทางจิตวิทยาก็มีงานวิจัยบอกว่า คนเรามักเชื่อใจ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” มากกว่าความเพอร์เฟกต์ เพราะความเพอร์เฟกต์ดูหลอก แต่ความไม่เป๊ะมันจับต้องได้จริง เราเลยชอบคนที่มีรอยแผล มีมุมที่ดื้อ หรือมีนิสัยกวนตีนบ้าง เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า “เออ คนนี้ของจริง”
แต่สังคมไทยกลับชอบคนที่สร้างภาพ คนที่ทำเหมือนดีตลอดเวลา พูดจาดีตลอดเวลา แต่มันตลกตรงที่พอเราเห็นใครที่ทำตัวดีกว่านิยาย เรากลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจริงใจแค่ไหน
สรุปคือ การเป็นตัวเองไม่ใช่การอยู่กับที่ แต่คือการอัปเดตเวอร์ชันของเราให้ดีขึ้นโดยไม่หลุดจากแก่นแท้ของเราเอง เหมือนอัป iOS เวอร์ชันใหม่ ถ้าเครื่องค้าง คุณก็ไม่ได้อยากใช้มันต่อใช่มั้ย
เพราะสุดท้าย ทุกคนไม่ได้อยากเห็นเราเป็น “คนดีสมบูรณ์แบบ”
แต่ทุกคนอยากเห็นเราเป็น “คนจริงที่กล้าดีขึ้นกว่าเมื่อวาน”
บางทีการไม่เสแสร้ง อาจจะไม่ใช่การเป็นตัวเองแบบเดิม
แต่มันคือการยอมรับว่า เราต้องเปลี่ยน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น