ก็เพราะว่าเธอก็ทำเหมือนกันไง… แล้วไงต่อ?
ก็เพราะว่าเธอก็ทำเหมือนกันไง… แล้วไงต่อ?
เมื่อเช้าเราได้ยินเสียงทะเลาะเบาๆ จากโต๊ะกาแฟในร้านประจำ โต๊ะข้างๆ มีคนสองคนกำลังถกเถียงเรื่องอะไรบางอย่าง เราไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ประโยคนั้นมันดังมาเข้าหูแบบชัดเป๊ะ:
"เธอจะมาว่าฉันได้ยังไง ในเมื่อเธอก็ทำเหมือนกัน!"
เราสะดุ้งเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะเสียงดัง
แต่เพราะคำพูดนั้น...
คุ้นมาก
คุ้นแบบที่ว่า ถ้าเราเอาเทปย้อนชีวิตตัวเอง เราจะได้ยินประโยคนี้จากปากตัวเองหลายรอบมาก
เวลาโดนเพื่อนทักว่าเราชอบเบี้ยวนัด
หรือเวลาที่ใครมาชี้จุดบอดของเรา แล้วเรารู้สึกอึดอัดจนต้องเอาเรื่องของเขามาเบี่ยง
“เธอก็ทำเหมือนกัน”
“แกก็เคยพูดแบบนี้”
“มาว่าฉันทำไม ในเมื่อเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉัน”
เราค้นเจอชื่อของพฤติกรรมนี้ทีหลัง มันชื่อเท่ๆ ว่า Tu Quoque
ภาษาละติน แปลตรงๆ ว่า “เธอก็เหมือนกันแหละ”
ฟังดูเฉียบ แต่จริงๆ คือวิธีการถ่วงน้ำข้อโต้แย้งให้จมไปพร้อมกัน
เหมือนมีคนบอกเราว่า "ไฟไหม้บ้านแกอยู่"
แล้วเราตอบกลับว่า
"ก็เมื่อกี้บ้านแกก็เคยไหม้นี่นา!"
…ซึ่งไม่ได้ช่วยดับไฟที่บ้านเราสักนิด
ประเด็นคือ เราชอบเอาความผิดของคนอื่น มาลดความผิดของตัวเอง
เพราะมันรู้สึกดีกว่าการเงียบรับฟัง
ดีกว่าการยอมรับว่าตัวเองยังไม่ดีพอ
เราชอบความยุติธรรมแบบแค้นนี้ต้องได้คืน
มากกว่าความยุติธรรมแบบ “เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่อยากให้คนอื่นทำ”
แล้วเรื่องมันเลยเถิด เพราะเราเอาสิ่งนี้ไปใช้กับคนที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง
อยากให้เขาเลิกเหล้า เลิกโกหก เลิกบ่น
แต่พอเขาย้อนกลับมาว่า
“ตัวเองก็ยังทำไม่ได้เลย”
เราก็หมดสิทธิ์พูด
ทั้งที่บางทีสิ่งที่เราพูด…มันก็ถูกอยู่นั่นแหละ
ในพระพุทธศาสนา มีคำว่า “โยนิโสมนสิการ”
แปลแบบง่ายที่สุดคือ “คิดอย่างถูกวิธี”
แปลแบบแทงกลางใจคือ “ฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่ฟังว่าใครเป็นคนพูด”
ต่อให้คนพูดจะเคยพลาดมาแล้ว
ต่อให้เขาจะยังไม่เปลี่ยนตัวเอง
แต่มันไม่ได้ทำให้สิ่งที่เขาเตือนเราผิดไป
การที่หมอฟันสูบบุหรี่
ไม่ได้ทำให้คำว่า “บุหรี่ทำลายสุขภาพช่องปาก” กลายเป็นเท็จ
การที่เราทำผิด ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีสิทธิ์พูดถึงสิ่งที่ถูก
…ถ้าเราพูดด้วยความจริงใจ และไม่ลืมว่าเราก็ยังต้องพัฒนาเหมือนกัน
บางที ทุกคนก็มีรอยร้าวในเรื่องที่ตัวเองกำลังเตือนคนอื่น
แต่สิ่งที่ทำให้คำพูดมีพลัง
ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของคนพูด
แต่คือ ความจริงที่ไม่ถูกกลบด้วยอัตตา
ไม่ต้องเก่งก่อนค่อยพูด
ไม่ต้องสมบูรณ์ก่อนค่อยเตือน
แต่ขอให้พูดด้วยใจที่ไม่เอาความผิดของคนอื่นมาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง
บางครั้ง…ความเงียบที่เราเลือก
ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้จะพูดอะไร
แต่เพราะเรายังไม่กล้ายอมรับว่า ตัวเรา…ก็ยังทำไม่ดีพอ
ถ้าใครเคยได้ยินประโยคนี้จากตัวเอง
“ก็เธอก็ทำเหมือนกัน”
ลองเงียบซัก 3 วิ
แล้วเปลี่ยนคำตอบเป็น
“ใช่…เราก็เคยทำเหมือนกัน และเรากำลังพยายามไม่ให้มันเกิดอีก”
นั่นแหละ
ไม่ใช่การแพ้
แต่มันคือการเริ่มต้นของความจริงที่เราคุมมันได้เอง
เรื่องสั้น Tu Quoque
ในคณะสถาปัตย์แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งหัวลูกอ๊อดกับเจ้าชายดอกไม้ซันไลต์เรียนอยู่ด้วยกัน หัวลูกอ๊อด ตัวตลกประจำห้อง ซึ่งแม้เรื่องเรียนจะไม่ค่อยเก่ง แต่เก่งลอกการบ้านซันไลต์อย่างช่ำชอง จู่ๆ วันหนึ่งหัวลูกอ๊อดก็ไปเจอบทความหนึ่งเกี่ยวกับ “Tu Quoque” ซึ่งเป็นคำศัพท์แปลกๆ ที่ทำให้เขางงมาก
หัวลูกอ๊อด: “มึงๆ ซันไลต์... ‘ทู โควส์’ นี่มันคืออะไรวะ? กูอ่านไปอ่านมา งงหัวแตก”
เจ้าชายดอกไม้ซันไลต์: (ยิ้มแหยๆ แบบซึนๆ) “โถ กูจะอธิบายแบบง่ายๆ ให้ฟังนะ ‘Tu Quoque’ แปลว่า ‘มึงก็เหมือนกู’ หรือ ‘มึงก็ทำเหมือนกูนี่หว่า’ คือเวลามึงจะด่าใครสักคนว่าทำผิด แต่มึงก็ไปทำผิดแบบเดียวกันนั่นแหละ กูว่า ‘มึงก็ทำ’ คือคำแก้ตัวที่ผิดฟอร์มแบบโง่ๆ นั่นเอง”
หัวลูกอ๊อด: “แล้ว...กูจะเอาไปใช้ตอนไหนวะ?”
ซันไลต์: “เอางี้นะ สมมติกูด่า ‘มึงอย่ากินขนมตอนเรียน’ แล้วมึงบอกว่า ‘มึงก็เคยกินตอนเรียนเหมือนกันนี่!’ แบบนี้แหละ ตรรกะมันผิด เพราะสองผิดก็ไม่กลายเป็นถูก ถ้ากูผิด มึงก็ผิด แต่ไม่ใช่แปลว่ากูถูก”
หัวลูกอ๊อด: “อ่อ...งั้นกูจะบอกมึงว่า ‘มึงก็ลอกการบ้านกูเหมือนกัน’ นี่ก็ทูโควส์เหรอ?”
ซันไลต์: (มองหน้าแบบเย็นชาแต่ซ่อนยิ้ม) “ใช่ กูไม่ชอบเลยเวลามึงใช้แบบนี้”
หลังจากนั้นหัวลูกอ๊อดก็ลองเอาไปใช้กับเพื่อนในคณะ…
หัวลูกอ๊อด: “มึงๆ เจมส์ด่า กูว่า ‘มึงไม่ตั้งใจเรียน’ แล้วกูบอกว่า ‘มึงก็ไม่ตั้งใจเรียนเหมือนกันนี่!’ เจมส์เลยทำหน้าช็อก พวกเราก็ฮากันทั้งห้อง”
แต่วันหนึ่ง หัวลูกอ๊อดเจอซันไลต์ทำเรื่องแปลกๆ
หัวลูกอ๊อด: “มึง...กูเห็นมึงกินขนมตอนเรียนเลยนะ! กูจะบอกมึงว่า ‘มึงก็ทูโควส์กับกูใช่มั้ย?’”
ซันไลต์: (ทำหน้าเหมือนจะระเบิด) “นั่นไม่ใช่ทูโควส์เว้ย! นั่นคือ... ความจริงที่กูไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแต่ยังสนับสนุนหลักการ”
หัวลูกอ๊อด: (งงหนัก) “เอ้า! อธิบายแบบเด็กอนุบาลหน่อยได้มั้ย?”
ซันไลต์: “คือว่า...กูเชื่อว่ามันไม่ดี แต่บางทีความเป็นจริงกูก็ต้องกินขนม มันเหมือนกูบอกว่า ‘ไม่ควรกิน’ แต่กูกินเองแบบงงๆ ไม่ใช่เพราะกูไม่เชื่อ แต่มันซับซ้อนกว่านั้น แค่ความไม่สม่ำเสมอของกูไม่ได้ทำให้คำพูดกูผิดนะ”
หัวลูกอ๊อด: “เห้ย มันคือ ‘กูพูดกับกูกินต่างกัน’ เหรอวะ?”
ซันไลต์: “ใช่! และนี่คือสิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิด แล้วใช้เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล แบบ ‘มึงก็ทำเหมือนกู’ แล้วเลิกสนใจว่าคำพูดมันถูกหรือเปล่า”
หัวลูกอ๊อดพยายามจะสรุป
หัวลูกอ๊อด: “สรุปว่า ‘ทูโควส์’ คือการแก้ตัวแบบเด็กๆ ที่บอกว่า ‘มึงก็ทำเหมือนกู!’ เพื่อเลี่ยงประเด็นจริงๆ ใช่ไหม?”
ซันไลต์: “ใช่ แล้วถ้าใครพูดแบบนี้กับมึง มึงก็แค่บอกไปว่า ‘สองผิดไม่กลายเป็นถูกนะ’ เท่านั้นเอง”
ท้ายที่สุด…
หัวลูกอ๊อดเดินเข้าห้องเรียนพร้อมกับความรู้ใหม่ในหัว แล้วบอกซันไลต์ว่า
หัวลูกอ๊อด: “มึงว่ากูจะลอกการบ้านมึงแบบทูโควส์ดีไหม?”
ซันไลต์: “กูว่า...มึงลอกกูแบบไม่ต้องมีทูโควส์ก็พอแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น