ทุกคน เราเคยสงสัยไหม ว่ายิ่งเราพยายามจะ 'ควบคุม'
ทุกคน เราเคยสงสัยไหม ว่ายิ่งเราพยายามจะ 'ควบคุม' อนาคตเพื่อหนีจากผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ทำไมสุดท้ายเราถึงกลายเป็นคนที่เดินไปส่งมอบผลลัพธ์นั้นให้กับมือเสียเอง เหมือนยิ่งกลัวรถชน เลยยิ่งจ้องรถคันข้างๆ จนเผลอหักพวงมาลัยเข้าไปหาเอง กลไกของการทำลายตัวเองแบบนี้มันทำงานอย่างไร
เรื่องนี้มาจากบทละครคลาสสิกของสเปนในศตวรรษที่ 17 เรื่อง Life is a Dream (La vida es sueño) เขียนโดย Pedro Calderón de la Barca เรื่องราวเปิดตัวที่อาณาจักรโปแลนด์ King Basilio ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เก่งเรื่องดวงดาว ได้รับคำทำนายว่าลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง เจ้าชาย Segismundo จะเติบโตขึ้นมาเป็นทรราชที่โหดเหี้ยมและทำลายล้างอาณาจักร
ด้วยความที่เป็นนักวางแผนชั้นเยี่ยม แกเลยแก้ปัญหาความเสี่ยงนี้ด้วยการ...จับลูกชายไปขังเดี่ยวในหอคอยลับตั้งแต่เกิด โดยไม่มีใครรู้ยกเว้นองครักษ์คนสนิท แล้ววางแผนจะยกบัลลังก์ให้หลานชายกับหลานสาว (Astolfo กับ Estrella) ที่กำลังจะแต่งงานกันเพื่อควบรวมอำนาจแทน
แต่พอแก่ตัวลง จิตสำนึกก็เริ่มทำงาน King Basilio เลยคิดแผนทดลองที่ซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น คือการทำ A/B Testing กับลูกชายตัวเอง โดยการมอมยา Segismundo แล้วพามาที่วัง แต่งตัวให้เป็นราชา แล้วปล่อยให้ลองบริหารประเทศดูหนึ่งวัน
โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าทำตัวดีก็จะได้ครองราชย์ต่อไป แต่ถ้าทำตัวเลวร้าย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นแค่ "ความฝัน" ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด เจ้าชายที่เติบโตมาแบบสัตว์ป่า ไม่เคยเรียนรู้การเข้าสังคม ก็อาละวาดไปทั่ววัง โยนคนรับใช้ออกจากหน้าต่าง พยายามข่มขืน Rosaura (หญิงสาวที่ปลอมตัวเข้ามาในวังเพื่อทวงเกียรติจาก Astolfo) และเกือบจะฆ่า Clotaldo องครักษ์ที่เข้ามาห้าม (ซึ่งก็คือพ่อของ Rosaura เอง)
เมื่อผลการทดลองออกมา "ล้มเหลว" Segismundo ก็ถูกมอมยากลับไปขังในคุกตามเดิม พร้อมกับความสับสนว่าอำนาจที่เขาเคยมีนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่ฝันไปกันแน่
โศกนาฏกรรมของเรื่องนี้ไม่ใช่คำทำนาย แต่คือการบริหารความเสี่ยงที่โง่เขลาที่สุด King Basilio ไม่ได้พยายามหนีโชคชะตา แต่แกกำลังเขียนโปรแกรมและสร้างเงื่อนไขทุกอย่างเพื่อให้โชคชะตานั้นเกิดขึ้นจริง การเลี้ยงดูมนุษย์คนหนึ่งในคุกมืดแล้วคาดหวังว่าเขาจะออกมาเป็นราชาที่ดีและมีวุฒิภาวะ
มันคือการออกแบบระบบที่การันตีความล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้เห็นลูกชายเป็นมนุษย์ แต่เห็นเป็นแค่ 'ตัวแปรเสี่ยง' (Risk Variable) ที่ต้องควบคุม ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่สร้างทรราชขึ้นมาจริงๆ แต่จุดเปลี่ยนที่น่าทึ่งคือตัว Segismundo เอง หลังจากถูกปลดปล่อยโดยประชาชนที่ต้องการทายาทโดยชอบธรรม เขากลับเรียนรู้จากประสบการณ์ "ความฝัน" นั้น เขาตระหนักว่าไม่ว่าชีวิตจริงหรือความฝัน ทุกสิ่งล้วนไม่จีรัง
เมื่ออำนาจเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งเดียวที่มีความหมายคือการทำความดี ในสงครามสุดท้าย เขายอมอภัยให้พ่อที่จองจำเขามาทั้งชีวิต เป็นการเลือกใช้ "เจตจำนงเสรี" (Free Will) ของตัวเองเพื่อหักล้าง "โชคชะตา" (Fate) ที่คนอื่นพยายามยัดเยียดให้
อนาคตไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำนายให้แม่น... แต่เป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจให้ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น