เราเคยนั่งฟังเพื่อนบ่นว่า “ทำไมคนบางคนเหมือนเกิดมาพร้อมทุกอย่าง ทั้งโอกาส โชค และคอนเน็กชัน” ฟังแล้วก็คิดตาม เพราะมันโยนเรากลับไปสู่คำถามพื้นฐานที่สุดว่า—อะไรกันแน่ที่ทำให้ชีวิตนี้ "คุ้มค่า" ที่ได้เกิดมา
ถ้าตัดปรัชญาซับซ้อนทิ้งไป คำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือ ความสุข แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ Jeremy Bentham นักคิดชาวอังกฤษเสนอไว้ตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อนภายใต้หลักการที่เรียบง่ายว่า ความสุขคือสิ่งดีงาม ความทุกข์คือสิ่งเลวร้าย และเป้าหมายของศีลธรรมคือการสร้าง ความสุขสุทธิสูงสุดให้กับคนจำนวนมากที่สุด (The greatest happiness for the greatest number)
ประเด็นสำคัญของ Bentham คือ ทุกคนนับเป็นหนึ่งเท่ากัน ความสุขของมหาเศรษฐีในลอนดอนไม่ได้มีน้ำหนักมากกว่าความสุขของชาวนาในลพบุรีโดยกำเนิด มันคือหน่วยวัดสากล แต่ในทางปฏิบัติ สังคมกลับจัดลำดับชั้นของความสุข เรามองว่าความสุขที่เกิดจากการประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มีค่ากว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ "ผลตอบแทน" ในรูปแบบเดียวกัน
สงครามระหว่างเจตนาและผลลัพธ์
สิ่งที่น่าสนใจคือการต่อยอดแนวคิดโดย John Stuart Mill ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Bentham เขาเห็นด้วยว่าผลลัพธ์คือสิ่งสำคัญที่สุด แต่เสริมว่าความสุขนั้นมี คุณภาพ ที่แตกต่างกัน ความสุขจากการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ (ความสุขทางปัญญา) ย่อมมีคุณภาพสูงกว่าความสุขจากการกินของอร่อย (ความสุขทางกาย)
แนวคิดนี้เรียกว่า ผลลัพธ์นิยม (Consequentialism) คือการตัดสินการกระทำจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากเจตนาเบื้องหลัง และนี่คือจุดที่ขัดแย้งกับสัญชาตญาณของมนุษย์อย่างรุนแรง
สังคมเราเชิดชู "เจตนาที่ดี" มากกว่า "ผลลัพธ์ที่ดี" ตัวอย่างคลาสสิกคือ คนที่บริจาคเงิน 50 บาทด้วยใจบริสุทธิ์มักได้รับการชื่นชมมากกว่ามหาเศรษฐีที่บริจาคพันล้านเพื่อลดหย่อนภาษีหรือสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง แต่ถ้ามองแบบผลลัพธ์นิยมอย่างเดียว เงินพันล้านนั้นสามารถซื้อเครื่องมือแพทย์ ช่วยชีวิตคนได้จริงและสร้างความสุขสุทธิให้สังคมได้มากกว่าอย่างเทียบไม่ติด
นี่คือหลุมพรางของโลกยุคใหม่ เราให้ความสำคัญกับ เรื่องเล่า (Narrative) มากกว่าความเป็นจริง เพราะสมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ผูกพันกับเรื่องราว ไม่ใช่ตัวเลขสถิติ เราจึงยอมแลกผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กับความรู้สึกดีๆ ที่ได้เห็นเจตนาอันสวยงาม
ปัญหารถรางในชีวิตประจำวัน
ความคิดนี้ถูกทดสอบอย่างสุดขั้วผ่านปัญหาคลาสสิกที่ชื่อว่า ปัญหารถราง (The Trolley Problem)
สถานการณ์คือ มีรถรางกำลังจะวิ่งทับคน 5 คนที่อยู่บนราง คุณสามารถสับสวิตช์ให้รถรางเปลี่ยนไปอีกรางหนึ่งซึ่งมีคนอยู่แค่ 1 คนได้ คุณจะทำอย่างไร?
การไม่ทำอะไรเลย: คน 5 คนจะเสียชีวิต แต่คุณไม่ได้เป็นคนลงมือ
การสับสวิตช์: คน 1 คนจะเสียชีวิต แต่คุณช่วยชีวิตคนได้ 5 คน และคุณคือคนที่ "เลือก" ให้เขาตาย
ถ้ามองจากมุมของผลลัพธ์นิยม การสับสวิตช์คือทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะการเสียชีวิต 1 คนสร้างความทุกข์น้อยกว่าการเสียชีวิต 5 คนอย่างชัดเจน แต่ในทางจิตวิทยา มนุษย์ส่วนใหญ่เกลียดการเป็นผู้กระทำโดยตรง (Active Cause) ที่ก่อให้เกิดความตาย แม้ว่ามันจะนำไปสู่ผลลัพธ์โดยรวมที่ดีกว่าก็ตาม
ในชีวิตจริง เราเจอปัญหารถรางทุกวัน แต่ในรูปแบบที่เงียบกว่า
เงินก้อนสุดท้ายของเดือน: จะใช้ซื้อของขวัญให้ตัวเองเพื่อความสุขส่วนตัว หรือจะส่งให้ครอบครัวที่ลำบากกว่า?
เวลาว่างสุดสัปดาห์: จะใช้นอนพักผ่อน หรือจะไปทำงานอาสาสมัคร?
ทุกการตัดสินใจคือการสับสวิตช์ คือการเลือกว่าจะจัดสรรทรัพยากรไปสร้างความสุขให้ใคร ที่ไหน และอย่างไร แนวคิดนี้บีบให้เราต้องยอมรับความจริงว่า ทุกทางเลือกมีต้นทุน และการไม่เลือกก็คือการเลือกอย่างหนึ่ง
ชิปที่เท่ากันตั้งแต่แรก
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่แนวคิดนี้ทิ้งไว้ให้เราขบคิด ไม่ใช่การบอกว่าคำตอบไหนถูกหรือผิด แต่เป็นการกระตุกให้เราถามตัวเองว่า เราใช้มาตรฐานอะไรในการวัดคุณค่าของชีวิต? เราให้ค่ากับความรู้สึกดีของตัวเอง หรือผลกระทบที่เราสร้างให้โลกรอบตัวมากกว่ากัน?
บางทีการ "ชนะ" ในเกมนี้ อาจไม่ใช่การมีชิปมากกว่าคนอื่น แต่คือการบริหารจัดการชิปที่เรามีเพื่อสร้างผลตอบแทนด้านความสุขให้ได้มากที่สุด โดยไม่ไปเบียดเบียนความสุขของคนอื่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่นิวยอร์ก โตเกียว หรืออุบลราชธานี ต้นทุนของความสุขแต่ละชีวิตมันเท่ากันตั้งแต่แรก
ความท้าทายจึงไม่ใช่การไล่เก็บชิปที่ไม่มีวันพอ แต่คือการตัดสินใจโยกสวิตช์ในแต่ละวัน และไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน ความเงียบนิ่งหลังการตัดสินใจนั่นแหละ คือเสียงที่คุณต้องอยู่กับมันให้ได้


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น