ขอแค่อย่าพังชีวิตเรา ไม่ต้องดีเวอร์หรอกนะ
ลองนึกภาพตามนะ เหมือนเรามีโต๊ะทำงานที่จัดไว้เรียบร้อย ทุกไฟล์อยู่ตรงที่มันควรอยู่ แต่มีใครสักคนเดินผ่านมา เทนมใส่แล้วเดินจากไปหน้าตาเฉย เราก็ต้องเสียเวลามานั่งเช็ด นั่งเคลียร์ ทั้งที่เราไม่ได้ก่อ ไม่ได้อยากมีส่วนร่วมเลยสักนิด บางคนแม่งไม่ได้อยากเห็นเรา “ดีขึ้น” ด้วยซ้ำ เขาอยากเห็นเรายุ่ง วุ่นวาย สับสน มันคือความบันเทิงราคาถูกที่ซื้อด้วยชีวิตคนอื่น
คำถามคือ…คนเราจะอยู่ร่วมกันได้ยังไง ถ้าในใจบางคนการ “สนุก” คือการเห็นอีกคนเจ็บ บางทีเราก็เลยเผลอคิดนะว่า หรือจริงๆ เราเองก็ไม่อยากมีใครอยู่รอบตัวเลยดีกว่า ปิดตัวเอง ปลอดภัยดี แต่พออยู่นานๆ มันก็เหงา แล้วพอเหงาก็เผลอสงสัยว่า เออ แล้วเรามีค่าอะไรกับโลกนี้กันแน่
พระพุทธเจ้าท่านมีคำบาลีคำหนึ่ง “อตฺตนา โจทยตฺตานํ” แปลตรงๆ ว่า “จงตำหนิตนด้วยตนเอง” ฟังดูแรง แต่ความหมายจริงคือ อย่ามัวแต่ไปเพ่งโทษคนอื่นจนลืมมองตัวเอง ว่าเราเป็นคนที่เปิดประตูให้เขาเข้ามาในชีวิตหรือเปล่า มันเหมือนเราลงทุนในหุ้นสักตัวหนึ่ง เจอข้อมูลมาไม่ครบ รู้สึกว่าเท่ดี เลยกดซื้อ พอหุ้นดิ่งก็โวยตลาด โวยเศรษฐกิจโลก แต่ลืมถามว่า ตอนซื้อเราหาข้อมูลจริงจังแค่ไหน หรือแค่ตามกระแสเท่ๆ ไป
แล้วมันดันสอดกับที่วรรณกรรมคลาสสิกบางเล่มพูดไว้ อย่าง The Picture of Dorian Gray ของ Oscar Wilde ที่เตือนเราว่า การปล่อยให้คนอื่นกำหนดภาพลักษณ์ กำหนดสิ่งที่เราควรเป็น มันจะค่อยๆ กลืนกินตัวตนของเราเอง เหมือนเพื่อนบางคนที่ชอบทำตัวเป็นคนหวังดี เสนอหน้าด้วยคำพูดหวานๆ แต่ความจริงคือเขาอยากสร้างเงื่อนไขให้เราอยู่ใต้การควบคุม
ในทางจิตวิทยามีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า toxic positivity หรือ “บวกจนเป็นพิษ” คือการที่คนทำเป็นพูดดี ยิ้มเก่ง ปลอบใจทุกสถานการณ์ แต่จริงๆ มันคือการปิดบังความจริงและไม่รับผิดชอบต่อความรู้สึกที่แท้จริง ฟังเผินๆ เหมือนคนพลังงานดี แต่จริงๆ เหมือนน้ำตาลเคลือบยาพิษ กินไปนานๆ ก็พังจากข้างใน ต่างจากคนที่พูดตรงโผงผาง ฟังแล้วจี๊ดหู แต่บางครั้งกลับเป็นความจริงที่ช่วยให้เราตาสว่างและโตขึ้น
สังคมไทยนี่ตลกดี ทุกคนพูดเหมือนอยากได้เพื่อนจริงใจ แต่พอใครพูดตรงๆ ก็มักจะหาว่าแรงไป ไม่รักษาน้ำใจ แต่ดันไปปลื้มคนที่พูดหวานๆ แล้วเอาเราไปเผาลับหลังแทน สุดท้ายมันเลยกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่เราทุกคนเป็นทั้งเหยื่อและผู้เล่นพร้อมกัน เราอยากถูกชอบ แต่เราก็กลัวการถูกเกลียด เลยเลือกเก็บ “คนหวาน” ไว้รอบตัว ทั้งที่มันกัดกร่อนช้ากว่ามีด แต่กัดกร่อนลึกกว่า
ถ้าไปถามนักวิทยาศาสตร์ เขาอาจบอกว่า สมองคนเราถูกโปรแกรมมาให้ชอบสิ่งที่ทำให้รู้สึก “ปลอดภัย” มากกว่าสิ่งที่ “จริง” เพราะความจริงมันไม่สบายหู เช่น เวลาเราฟังคำชมปลอมๆ สมองจะหลั่งโดปามีนทันที แต่พอฟังคำวิจารณ์จริงจัง สมองเรากลับหลั่งคอร์ติซอล ทำให้รู้สึกเครียด นี่แหละที่ทำให้เรามีแนวโน้มจะเลือกอยู่กับคนที่ทำให้เราสบายใจก่อน แม้จะเป็นการสบายใจแบบปลอมๆ ก็ตาม
สุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์มันไม่ใช่การหาคนที่จะมาทำให้เรามีความสุขตลอดเวลา แต่คือการหาคนที่อย่างน้อย…ไม่ทำให้เราต้องเสียเวลาซ่อมตัวเองเพราะเขา และถ้าไม่มีใครแบบนั้นในตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร อยู่กับตัวเองให้ได้ก็ถือว่าโคตรชนะแล้ว
จำไว้ ทุกคนไม่ต้องการคนมาช่วยสร้างปราสาทหรูให้หรอก แค่ขอให้ไม่มีใครมาพังบ้านไม้เก่าๆ ของเราก็พอ และถ้าใครคิดจะพังบ้านเราอีก บอกมันไปเลยว่า ขอโทษนะ ที่นี่ไม่ใช่สนามซ้อมระเบิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น