วันหนึ่งเราเห็นคนเดินอยู่ริมถนนกลางแดด แล้วไม่โวยวาย
วันก่อน เรานั่งอยู่ในร้านกาแฟข้างถนน จิบกาแฟขมๆ ที่สั่งมาเพราะปากอยาก แต่ใจไม่ได้พร้อมรับ แล้วเราก็มองเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เดินกลางแดดเปรี้ยงๆ แดดที่เล่นเอาแอสฟัลต์แทบละลาย แต่เขากลับเดินนิ่งๆ ไม่หลบ ไม่ปัดเหงื่อ ไม่เอะอะโวยวายเหมือนคนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมพกร่ม
เราเผลอคิดว่า—"เขาบ้าเหรอ?"
แต่พอนั่งจ้องไปอีกแป๊บ กลับคิดใหม่ว่า…หรือจริงๆ แล้ว เรานี่แหละ ที่ชินกับการหนีแดดมากไป
เราคุ้นกับการหนีความร้อน ความเครียด ความกลัว ความเสียใจ ทุกอย่างที่มันไม่สบายน่ะ เรารีบหาทางเบี่ยง รีบหาทางหนี รีบหาทางทดแทน
แต่บางที...ความสงบที่แท้จริง มันไม่ได้มาจากการหนีออกจากสถานการณ์นะ มันอาจมาจากการ "ไม่หวั่นไหว" อยู่กลางสถานการณ์ต่างหาก
เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง อภเตหิ ปกฺกม (Apatehi pakkama) ในพุทธศาสนา แปลง่ายๆ ว่า “ละเสียซึ่งราคะ”
ราคะในที่นี้ไม่ใช่แค่ความหลงใหลในใครบางคน แต่รวมถึงความหลงในความสบาย ความอยากให้โลกหมุนรอบเรา ความคาดหวังว่าอะไรๆ ต้องเป็นอย่างใจเราด้วย
ซึ่งคล้ายกันแปลกๆ กับที่ชาวสโตอิกพูดไว้ว่า
“Pain and pleasure, poverty and riches, sickness and health, were supposed to be equally unimportant.”
คืออะไรที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็ควรวางเฉยกับมันให้ได้
แต่ไม่ใช่วางเฉยแบบหมดไฟนะ เป็นการวางเฉยแบบรู้เท่าทัน อย่างคนที่รู้ว่าฝนตกไม่ใช่ความผิดของใคร ก็แค่กางร่ม หรือไม่ก็เปียกไปเลย แต่ไม่ต้องโวยวายให้เหนื่อย
นักจิตวิทยาสมัยใหม่บางคนยังใช้แนวคิดสโตอิกนี้กับคนที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดคนที่ไม่มีวันกลับมา
เพราะมันสอนให้เรายอมรับว่า เราควบคุมไม่ได้ทุกอย่างหรอก
สิ่งที่เราควบคุมได้คือ "ท่าทีของเรา" ต่อสิ่งเหล่านั้น
บางที…ความสุขไม่ได้มาจากการได้ทุกอย่างที่อยาก
แต่มาจากการไม่อยากได้ทุกอย่างที่ไม่มี
ใครที่กำลังพยายามควบคุมโลกทั้งใบให้เป็นไปอย่างใจ ขอให้พักก่อน
ควบคุมแค่ใจเรานี่แหละพอแล้ว
แดดมันร้อนก็จริง แต่บางคนก็เดินผ่านมันไปได้ โดยไม่ต้องโวยวายอะไรเลย
แค่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินไปไหน ก็พอแล้วสำหรับวันนี้.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น