บางทีเราไม่รู้หรอกว่าชีวิตกำลังพาไปไหน
บางทีเราไม่รู้หรอกว่าชีวิตกำลังพาไปไหน จนกว่ามันจะพาเราไปถึงตรงนั้นจริงๆ แล้วจู่ๆ เราก็หันกลับมามองทางที่เดินผ่านมา… แล้วเพิ่งรู้ว่า “อ้าว เออ ก็มาไกลเหมือนกันนะ”
มีช่วงหนึ่งที่เราวิ่งสุดฝีเท้าไล่ตามอะไรบางอย่างตลอดเวลา เหมือนกระต่ายไล่เงาตัวเองในแดดยามเย็น เรียกมันว่า “ความสำเร็จ” ก็ได้ แต่จริงๆ มันคือชุดความเชื่อที่สังคมใส่ในเป้เราไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันยืนได้เต็มสองขา ความเชื่อแบบที่บอกว่า
ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็น illusion (ภาพลวงตา) ที่เราหลงคิดว่าเป็น reality (ความเป็นจริง)
วันหนึ่ง เรากลับมาเปิดหนังสือ Man’s Search for Meaning ของ Viktor Frankl อีกครั้ง เขาเล่าว่า สิ่งที่ทำให้คนเรารอดจากค่ายกักกันนาซีไม่ใช่ร่างกายที่แข็งแรง แต่คือ “ความหมาย” (meaning) ที่ยังยึดไว้ในใจ
เขาไม่ได้พูดแบบเพ้อเจ้อแนวจิตบำบัดเบาๆ แต่พูดด้วยสายตาของคนที่เห็นคนตายต่อหน้าทุกวัน และค้นพบว่า คนที่ตื่นขึ้นมาทุกเช้าโดยมีเหตุผลเล็กๆ ว่าอยากเจอลูกอีกสักครั้ง หรืออยากเขียนหนังสือให้เสร็จ มักจะรอดได้นานกว่า
นั่นทำให้เราคิดว่า… เราเองก็ไล่ล่าความสำเร็จเหมือนคนอื่น แต่พอถึงวัยกลางคน จุดที่จู่ๆ เสียงรอบตัวก็เงียบลง และเสียงข้างในดังขึ้น เราถึงเริ่มได้ยินคำถามที่ไม่เคยฟังมาก่อน
– จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร
– ถ้าไม่ต้องโชว์ให้ใครเห็น… เรายังอยากทำสิ่งนี้อยู่มั้ย
– และถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วเดินไม่ได้อีก เราจะยังรู้สึกว่าชีวิตมีค่าอยู่ไหม
ตอนนั้นเองเราถึงเริ่มเข้าใจว่า “ความสำเร็จ” ที่เราเคยวิ่งหามันไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่มันคือเวที (stage) ที่พอเราได้ขึ้นไปยืนแล้ว เราจะมีสายตาที่กว้างพอจะเห็นว่า… แท้จริงแล้วสิ่งสำคัญมันอยู่ข้างหลังเวทีนั้นมาตลอด
เราพบว่าความสุขที่นิ่งและไม่ต้องการเสียงปรบมือ มักอยู่ในพื้นที่ที่เงียบมาก พื้นที่ที่เรานั่งอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้สึกว่างเปล่า พื้นที่ที่เราช่วยใครสักคนแล้วไม่ได้บอกใคร พื้นที่ที่เราให้อภัยคนที่ไม่เคยขอโทษ
และเราก็เริ่มเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่า
“อตฺตนา โจทยตฺตานํ” – จงเตือนตนด้วยตนเอง
ชีวิตมันไม่ใช่การแข่งขันกับใคร แต่เป็นการตื่นรู้กับตัวเองทุกวัน
บางคนอาจถามว่า แล้วถ้าไม่ไล่ล่าความสำเร็จ แล้วจะไล่ล่าอะไร
เราคิดว่า... อาจจะไล่ล่าการเป็น “มนุษย์ที่ดีขึ้น” ก็ได้
ไม่ใช่ดีในสายตาใคร แต่ดีในแบบที่เรายังเคารพตัวเองได้ตอนหลับตา
ดีในแบบที่กล้าหัวเราะกับความผิดพลาดตัวเอง และกล้าร้องไห้โดยไม่อายใคร
ดีในแบบที่ยังยอมรับว่าโลกนี้มันไม่แฟร์ แต่เรายังเลือกทำสิ่งที่ถูกแม้มันจะยาก
ถ้าทุกคนกำลังรู้สึกเหนื่อยหรือหลงทางอยู่ อย่าเพิ่งรีบร้อนหาคำตอบ
บางทีชีวิตมันไม่ได้ต้องการคำตอบเลยก็ได้ มันแค่ต้องการให้เรายัง “อยู่กับมัน” อย่างซื่อสัตย์
และถ้าจะมีอะไรที่ควรไล่ล่าจริงๆ เราว่าคือ “ความหมาย” ไม่ใช่ “ความสำเร็จ”
เพราะความสำเร็จทำให้เราภูมิใจในอดีต
แต่ความหมายทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อในวันพรุ่งนี้
ปล. สำหรับใครที่ยังหาความหมายไม่เจอ ไม่ต้องตกใจ ไม่มีใครแจกคำตอบอยู่แล้ว
แต่บางทีระหว่างที่เดินหา เราอาจกลายเป็นคำตอบของใครบางคนโดยไม่รู้ตัวก็ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น