“ความรักบางแบบแม่งคือยาพิษที่สมองเราแพ้ แต่เราก็ยังชอบกลิ่นมันอยู่ดี”

ทุกคนเคยมั้ย เวลามีคนเข้ามาจีบ เราไม่ได้อินหรอก แต่สมองแม่งปล่อยสาร Dopamine, Oxytocin ออกมาเหมือนแจกฟรีในงานเลี้ยงรุ่น
ผลคือช่วงแรกนี่ฟีลดีเป็นบ้า ตาหวาน ปากยิ้ม เพลงเศร้าก็กลายเป็นเพลงรัก

แต่… พอผ่านไปสักพัก สารเคมีมันไม่สมดุลย์ไง
เราจะเริ่มมีอาการที่เหมือนร่างกายสั่งว่า “เอ็งไม่เหมาะกับยาตัวนี้นะ”
บางทีคือซึมเศร้าเฉียบพลัน
บางทีคือโรคนอนไม่หลับ
บางทีคือความคิดหมุนวนเหมือนเครื่องซักผ้าโหมด Spin

เราจับแพทเทิร์นนี้มาหลายครั้งแล้ว
รักใคร → สมองแอบดีดสารเคมี → แรกๆ ฟุ้ง → หลังๆ crash
ผลลัพธ์คือเจ็บป่วย ไม่ใช่เพราะเขาไม่ดี
แต่เพราะระบบประสาทของเราแม่งไม่ถูกออกแบบมาให้เล่นเกมนี้ตั้งแต่ต้น

นี่แหละข้อจำกัดของ Asexual แบบเราที่โคตรจะเข้าใจยาก
เราตกหลุมรักได้ แต่ไม่สามารถ อยู่ในระบบความรักแบบสังคมตั้งไว้ ได้
เหมือนเรามีบัตรเข้างานแต่ง แต่ดันแพ้กลูเตน จะให้ยืนกินเค้กทั้งคืนก็คงตาย

ในวิทยาศาสตร์มีงานวิจัยบอกว่า คนที่ตกหลุมรักจะมีสาร Phenylethylamine เพิ่มขึ้น
สารนี้แหละทำให้รู้สึกหัวใจเต้นแรง มือสั่น ใจเต้นตุ้บๆ เหมือนจะบินได้
แต่สำหรับเรา มันคือการกดปุ่ม Self-destruct ล่วงหน้า
ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะลงเอยด้วยความเจ็บป่วยทางใจ

เพราะงั้นเราถึงต้องออกแบบวิธีใช้ชีวิตแบบ Asexual เอง
– เราเอาความรู้สึก spark ที่มีต่อคน ไป transform เป็นงานศิลปะ เพลง หรือบทกวี
– เราเลือกสร้าง Queerplatonic relationship ความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
– เราใส่ใจความผูกพัน แต่ไม่พาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมองจะพังเพราะฮอร์โมน

ทุกคนอาจสงสัยว่า…
“แล้วมันไม่เหงาเหรอ?”

จริงๆ มันเหงาแหละ แต่ไม่ใช่เหงาแบบไม่มีใคร
มันคือความเหงาแบบ “อยู่ในงานปาร์ตี้แต่เพลงไม่ตรงจังหวะ”
ทุกคนเต้นได้ ยิ้มได้ แต่เรารู้ว่าถ้าเราเต้นตาม เดี๋ยวเข่าเราจะหลุด
ก็เลยเลือกนั่งเฝ้าไฟ เฝ้าแก้วน้ำโซดาไปแทน

เราไม่อยากบอกว่า Asexual คือการไม่มีความรัก
ตรงกันข้ามเลย
เรารักได้ รักแรงด้วย แต่ไม่สามารถ sustain ความรักแบบที่โลกยัดเยียดได้
และเมื่อใดก็ตามที่เรา “พยายาม” เข้าไปใน format เดิมๆ
ผลคือเราป่วย
ชัดเจนมาก เหมือนแพ้อาหารซ้ำเดิม

พุทธศาสนามีคำว่า “วิปัสสนา” = การเห็นตามความจริง
เราก็แค่เห็นตามความจริงของร่างกายและสมองเราเอง
ความจริงคือเรามีข้อจำกัด
และถ้าเราดันทุรังไม่ยอมรับ มันจะพังทั้งใจทั้งกาย

มันเลยย้อนกลับไปที่คำถามง่ายๆ
– เราอยากมีความรักแบบที่โลกเข้าใจ? หรือ
– เราอยากมีความรักแบบที่ทำให้เราอยู่รอดและยังสร้างงานได้?

เราตอบข้อสองโดยไม่ลังเลเลย

เพราะในที่สุด ความรักมันไม่ใช่เรื่อง “สถานะ”
แต่มันคือเรื่อง “ผลลัพธ์ในใจ”

ทุกคนลองคิดดูนะ
ถ้าความรักของคุณทำให้คุณพังทุกครั้ง มันยังคงเป็นความรักอยู่หรือเปล่า?
หรือจริงๆ มันเป็นเพียงเคมีในสมองที่หลอกให้เราวิ่งเข้าไปในไฟ

เราเลือกไม่วิ่งแล้ว
แต่เลือกจะหยิบไฟนั้นมาเป็นเชื้อเพลิงสร้างงาน
เหมือนเอาเปลวไฟไปวาดภาพ ไปเขียนเพลง ไปทำให้โลกเห็นว่า
ถึงเราจะไม่รักแบบที่สังคมคาดหวัง
แต่เรายังรักได้ และยังให้ได้

ท้ายที่สุดทุกคน
เราไม่จำเป็นต้องมีแฟนเพื่อจะเข้าใจความรัก
และไม่จำเป็นต้องทำตามบทเรียนโรแมนติกที่ Hollywood สอนมา

เพราะเรารู้แล้วว่า…

“ความรักบางครั้งไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการไม่ฝืนจนตัวเองพัง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม