การอ่านนิยาย (fiction) มันดีกว่าการอ่าน self-help หรือ nonfiction ยังไง
ลองนึกภาพว่าเวลาอ่าน self-help เหมือนเราได้คู่มือการประกอบเฟอร์นิเจอร์จาก IKEA บอกทีละขั้นตอนว่าให้ไขน็อตตรงไหน แต่บางทีพอทำจริง เราก็ไขผิดอยู่ดี ส่วน fiction นี่มันเหมือนเราดูคนอื่นจัดบ้านสวยๆ แล้วจู่ๆ เกิดไฟติดในหัว “อ๋อ แบบนี้ก็ทำได้” แล้วเราเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงโดยไม่รู้ตัว
– นักวิจัยด้านสมองเคยเจอว่า เวลาเราอ่านนิยายที่เล่าชีวิตคนอื่น สมองส่วนที่เกี่ยวกับ empathy (ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกคนอื่น) มันทำงานจริงๆ ราวกับว่าเราเป็นตัวละครนั้น เช่น เวลาพระเอกอกหัก สมองเราจะส่งสัญญาณใกล้เคียงกับคนอกหักจริงๆ พูดง่ายๆ นิยายคือเครื่องจำลองประสบการณ์ (simulation machine) ที่ปลอดภัยแต่ทรงพลัง
– ในมุมพุทธศาสนา หลัก “โยนิโสมนสิการ” (การคิดโดยแยบคาย) คือหัวใจของการพัฒนาปัญญา นิยายบังคับให้เราโยนิโสฯ โดยอัตโนมัติ เราต้องถามว่า ทำไมตัวละครนี้ทำแบบนั้น เขาเลือกผิดตรงไหน เราเองจะทำยังไงถ้าอยู่ในสถานการณ์นั้น นี่คือการใช้ปัญญาแบบที่ไม่รู้ตัว แต่ทรงพลังยิ่งกว่าการอ่านสูตรสำเร็จ
– ถ้าโยงกับวิทยาศาสตร์ นิยายทำงานเหมือนการทดลองทางฟิสิกส์ที่จำลองสถานการณ์ในห้องแล็บ เราไม่ต้องเสี่ยงไปโดนแรงโน้มถ่วงกระชากจากตึก 20 ชั้นจริงๆ แต่เราเข้าใจได้ว่าแรงโน้มถ่วงมีอยู่ และอันตรายแค่ไหน การอ่านนิยายก็ทำให้เราเห็น “แรง” ทางใจที่เกิดขึ้นเวลาเจอรัก โลภ โกรธ หลง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเสี่ยง
ที่สำคัญ นิยายยังทำหน้าที่เป็น “mirror neuron trainer” หรือการฝึกเซลล์ประสาทกระจกในสมอง ซึ่งมีหน้าที่เลียนแบบความรู้สึกของคนอื่น นี่คือรากฐานของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่หุ่นยนต์ ทุกคนคงไม่อยากกลายเป็น AI ที่ตอบเก่งแต่ไร้หัวใจหรอก
เราวิเคราะห์แล้วว่า เหตุผลที่ fiction มักทรงพลังยิ่งกว่า nonfiction ไม่ใช่เพราะมันบอก “ความจริง” ได้มากกว่า แต่เพราะมันทำให้ทุกคน รู้สึก ความจริงนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ลึกกว่า “การเข้าใจ” แบบผิวเผิน
ถ้าเปรียบเป็นสมการ นิยายคือ
“ข้อมูล (information) + อารมณ์ (emotion) = ปัญญา (wisdom)”
ส่วน self-help บางเล่มคือ
“ข้อมูล + สูตรลัด = การบ้านที่เรามักดองไว้”
สุดท้ายแล้ว ไม่ได้หมายความว่า nonfiction ไม่มีค่า แต่ถ้าทุกคนอยากเข้าใจมนุษย์ เข้าใจตัวเอง และเข้าใจโลก นิยายคือเส้นทางลัดที่เดินช้ากว่าหน่อย แต่ไปถึง “ใจกลาง” ได้มากกว่า
ทุกคนลองสังเกตสิ เวลาอ่านฟิคจบเล่ม เรามักจะวางหนังสือลงแล้วเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนสมองกำลังย่อยอะไรบางอย่าง นั่นแหละคือปัญญาที่ซึมเข้ามาโดยไม่ต้องท่องจำ มันไม่ใช่ checklist แบบ self-help แต่มันคือการเปลี่ยน “ตัวเรา” จากข้างในเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น