เรื่องของ 'เธอ' กับ 'Isaiah' ที่เหมือนหนังรักอินดี้ทุนต่ำ

โอเคทุกคน… มานั่งล้อมวง เอาขนมขึ้นมือ แล้วฟังเรื่องของ 'เธอ' กับ 'Isaiah' ที่เหมือนหนังรักอินดี้ทุนต่ำ ผสมซีรีส์เกาหลีจบไม่สวย แล้วใส่ topping เป็นรองเท้าขาดๆ ราคาหลักหมื่นเข้าไปเพิ่มความเจ็บ
เรื่องมันเริ่มช่วงซัมเมอร์ 2024 ที่แดดร้อนเหมือนฟ้าเพิ่งทะเลาะกับนรก เธอโดน Isaiah เท… ไม่ใช่แค่เทแบบบล็อกไลน์แล้วจบ แต่มันคือการเทแบบค่อยๆ ทำให้หมดศรัทธาในตัวเอง แล้วก็หายไปเหมือนเพื่อนที่ยืมหนังสือไปแล้วบอกจะคืน “พรุ่งนี้”
ความสัมพันธ์ของเขาสองคนมันสั้น กุด แล้วก็โคตรหยาบ อย่างกับฉากเปิดใน Game of Thrones ที่รู้ว่าใครบางคนต้องตาย แต่ก็นั่งดูต่อ เธอต้องคอยตามทวงคำตอบจาก Isaiah เหมือนเป็นหนี้ชาติค้างมา เขาหายไปวันสองวันไม่ตอบ แต่ก็ยังโพสต์ขายรองเท้าเก่าๆ อยู่ได้ทุกวัน
เธอไม่เคยบ่นเลยตอนนั้น เพราะเคยมีโมเมนต์ดีๆ ด้วยกัน ก็เลยปล่อยผ่าน… แต่พอมาวันนี้ เธอถึงเพิ่งรู้ — รองเท้าพวกนั้นไม่ได้เป็นแค่ของเก่า แต่เป็นสัญลักษณ์ของการโดนหลอกขั้นเทพ
“Our relationship was a short, brutish affair.”
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนพายุฤดูร้อน — มาเร็ว รุนแรง และจบเร็ว
แต่ไม่ใช่เร็วแบบหวานขมแบบในหนังรัก
มันคือเร็วแบบเจ็บ เหนื่อย และรู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรีตัวเองไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอสารภาพว่าเธอมักจะ “ทะเลาะ” กับเขา
แต่จริงๆ มันไม่ใช่การทะเลาะเลย — มันคือ “การขอร้อง”
เธอขอให้เขาตอบข้อความบ้าง
แค่ “ตอบกลับ”
แค่ “ไม่หายไป”
แต่เขาก็ยังหายไปเป็นวันๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย
แต่ที่น่าเจ็บกว่านั้นคือ...
ในขณะที่เขาเงียบกับเธอ เขากลับโพสต์รูปสนีกเกอร์เก่าๆ คู่เดิม
ตั้งราคาขาย 15,000 ทุกครั้ง
มันคือรองเท้าที่พังยับ ขอบเปื่อย สีแดงซีดเหมือนเอาปากกามาแรเงา
แต่กลับโพสต์ขายแบบมือโปร
“ขายจริงนะครับ ไม่ต่ำกว่า 10K”
ตอนนั้นเธอไม่เคยบ่น
เพราะเงินจากรองเท้าพวกนั้นแหละที่พาเธอไปกิน shawarma กับเขา
เธอเลยยอมเงียบ
แต่ตอนนี้... พอถอยออกมามอง เธอรู้แล้วว่าเธอไม่ควรเงียบ
เพราะคนแบบนี้... มันโกงกันตั้งแต่ใจ
แล้วเหตุการณ์หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว — เหตุการณ์ที่น่าจะเป็น “สัญญาณเตือน” ตั้งแต่ตอนนั้น
วันนั้นเขาพาเธอไปกินข้าวที่โรงอาหารใกล้หอ
เธอกำลังคีบสปาเกตตี้อยู่ แต่ในใจกำลังชั่งใจว่าจะถามดีไหม
สุดท้ายเธอก็ถาม...
“นายเคยคิดจะซื้อของจากเจ้าอื่นบ้างไหม?”
ในบริบทนี้ “ซื้อของ” ไม่ใช่แค่เรื่องช้อปปิ้ง
แต่มันคือเรื่องธุรกิจรองเท้ามือสองของ Isaiah ที่เขาขายอยู่ — รองเท้าที่เขาชอบโพสต์ขายอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ
Isaiah หยุดเคี้ยว กลืนข้าวลงช้าๆ แล้ววางส้อมอย่างสุภาพ
น้ำเสียงดูใจเย็น แต่อะไรบางอย่างในคำพูดนั้นก็แข็งอยู่ดี
“เจ้าพ่อค้าเจ้าอื่นมันแพงไป”
“แล้วก็ Jayjay เป็นเพื่อนฉัน ฉันทิ้งเขาไม่ได้หรอก”
Jayjay คือแหล่งสต็อกรองเท้าของเขา
เป็นคนที่ Isaiah ซื้อของมาขายต่อ
เหมือนมีพันธะอะไรบางอย่างที่เขาไม่ยอมเปลี่ยน แม้มันจะแพง หรือคุณภาพจะไม่ไหวแล้วก็ตาม
เธอเลยพูดขึ้นเบาๆ แบบที่คนหวังดีมักจะพูด
หมุนเส้นสปาเกตตี้ไปพลาง ไม่กล้าสบตา
“แต่นายก็ลองหาตัวเลือกใหม่ๆ ได้นะ... Jayjay ไม่น่าจะว่าอะไร”
แต่นั่นแหละ...
สิ่งที่ชัดมากจากบทสนทนานั้นคือ — เขา ดื้อ
ไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนหรือเรื่องรองเท้า
แต่คือดื้อกับทุกคำแนะนำของเธอ
เธอพยายามเสนอทางเลือกที่ดีขึ้น แต่เขากลับถือมั่นกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ดีกับใครเลย — ไม่กับเขา ไม่กับเธอ และไม่กับรองเท้า
ความสัมพันธ์ที่ดีควรมีพื้นที่ให้ “การรับฟัง”
แต่ในครั้งนี้ มันคือความสัมพันธ์ที่มีแต่ “การพูดคนเดียว”
เธอพูด เขาเงียบ
เธอแนะนำ เขาปัด
เธอหวัง เขาไม่เคยรับ
และในที่สุดเธอก็เริ่มเข้าใจว่า...
บางที Isaiah อาจไม่ได้เป็นคนที่ขายรองเท้าเก่งอย่างเดียว
แต่เขาอาจจะ “ขายฝัน” เก่งพอๆ กัน
และฝันที่เขาขายให้เธอในตอนนั้น... ก็คือฝันที่กำลังพังเหมือนรองเท้าคู่ที่เขาโพสต์
เธอไม่เถียงอะไร เพราะรู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น ความรักมันเหมือนสั่งบะหมี่แล้วลืมบอกว่าไม่เอาถั่วงอก สุดท้ายก็ต้องกินไปทั้งที่ไม่ชอบ เพราะไม่อยากเรื่องมาก
หลังเลิกกัน เธอนอนอยู่ในห้องเพื่อน ชื่อ Rita รายล้อมด้วยตุ๊กตา แล้วเลื่อนวอทส์แอปไปเจอช่องโปรไฟล์ที่เคยเป็นรูปตัวเอง ตอนนี้เหลือแต่ความว่างเปล่า — ช่องว่างขนาดเล็กที่บีบหัวใจใหญ่ๆ ให้แหลกละเอียดเหมือนโดนล้อรถทับ
แล้ววันหนึ่ง...
ขณะที่เธอกำลังไถดูหน้า IG ของ Isaiah ด้วยนิ้วที่หนักราวค้อนทุบใจ เธอก็เจอกับภาพผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า Amaka
Amaka เป็นผู้หญิงที่ถ้าพูดกันตรงๆ แบบเด็กผู้ชายในห้องน้ำโรงเรียนก็คงใช้คำว่า “แซ่บ”
เธอดูมั่นใจ ใส่เสื้อผ้าที่พอดีทุกมุมจนทำให้รูปร่างยิ่งชัดเข้าไปอีก
ผมเธอทำมาสวยทุกทรง เหมือนเพิ่งออกจากซาลอนในนิวยอร์ก ทั้งที่ในความเป็นจริงน่าจะจ่ายแพงกว่าค่าอาหารกลางวันของเธอเป็นอาทิตย์
ภาพทุกภาพก็ชัดแจ๋วระดับกล้องหนังฮอลลีวูด เธอถ่ายยังไงก็ไม่เบลอเลยสักนิด
เธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองหดลงเรื่อยๆ ทีละนิด เหมือนขนมปังแช่น้ำชา
เธอเลยไถจอหนีจาก Amaka ไปอย่างเร็ว
แล้วสายตาก็สะดุดกับอีกคน
ในโพสต์วันวาเลนไทน์ มีรูปผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Titilayo
Titi สูงยาว เข่าดี ผิวเนียน หน้าเหมือนโปสเตอร์ที่ติดอยู่หน้าร้านเพชร
ถึงจะไม่ใช่เน็ตไอดอล แต่จากโพสต์อื่นๆ เธอก็เดาได้ว่า Titi เคยเป็นแม่ค้าเหมือน Isaiah
Isaiah ไม่เคยพูดถึง Titi ด้วยอารมณ์แบบที่พูดถึง Amaka
ไม่มีใบหน้าหงิกงอ ไม่มีเสียงประชดประชัน
เหมือนพูดถึงใครบางคนที่เคยมีความสำคัญ แต่ไม่เคยกลายเป็นศัตรู
Titi ดูแตกต่างจากเธอทุกอย่าง — สูงกว่ารวมกันทั้งเธอและ Amaka ซะอีก
หน้าเหมือนคนที่เดินออกมาจากโฆษณา
หุ่นก็ดีแบบที่ไม่รู้จะมองเอวหรือมองหน้าอกก่อนดี
ใช่… เป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอวางโทรศัพท์ลง แล้วหายใจเฮือกใหญ่อย่างแพ้กลายๆ
แล้วทันใดนั้น…
แม่มดในใจที่คอยสะกิดความเจ็บเธอตลอดหลายวันก็เงียบไป
เพราะความทรงจำบางอย่างกลับมาแทน — ครั้งหนึ่ง Isaiah เคยพูดว่าเขามี “สเปก”
“สเปก” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอะไรลึกซึ้งเลย
มันคือภาพในหัวของคนที่เขาอยากได้
รูปร่างหน้าตาแบบที่เขาเลือก
เหมือนเวลาสั่งเมนูโปรดที่ร้านเดิมไม่เคยเปลี่ยน
วันนั้น... ทั้งสองเดินเล่นกันตอนเย็น มือจับกัน
เธอเล่าเรื่องราวในวันของตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้าง
Isaiah ฟังไปพลางดูต้นไม้ ดูร้านริมถนนไปด้วย
พอเธอพูดจบ เขาก็โยนข่าวใส่หน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับพูดถึงฝนตก
แล้วคำถามก็มา… "เขาเคยชอบเราบ้างไหม?"
Rita หยุดไปนิดนึงก่อนตอบว่า “เขารู้สึกนั่นแหละ… แต่อาจจะไม่พอ”
อือ… พังแหละคำนี้ มันพังแบบที่พวกตัวละครใน Jane Austen โดนปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่ร้าวลึก ไม่มีใครพูดว่าเธอไม่ดีนะ แค่ "ไม่ใช่คนที่ใช่"
หลังจากนั้น เธอเริ่มสืบไอจีเขาอย่างแม่มดใน Harry Potter ใช้เวทมนตร์แห่งความเผือก ส่อง ex แต่ละคนของเขา เห็นว่าแต่ละคนคือดาว TikTok มีทรง มีเงิน มีมุมกล้อง ทุกคนถ่ายรูปเหมือนมาจาก Pinterest Board “Goddess with WiFi”
เธอเริ่มหดเล็กลงในใจตัวเอง เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบแต่งหน้า ไม่เคยใช้เงิน 8,000 กับทรงผม เธอเรียนดีแต่ไม่ได้ฉลาดจ๋า เธอไม่ได้อยู่ใน “spec” ของ Isaiah — ซึ่งคำนี้แหละที่พังชีวิตคนมาเยอะ
“Tunde เลิกกับ Esua แล้ว”
เธอเกือบสะดุด เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องนั้น
“ทำไมล่ะ?”
Isaiah บอกว่า Tunde ไปคุยกับผู้หญิงอีกคนในคณะปรัชญา
ชื่ออะไรสักอย่างที่คล้าย Luna หรือ Muna
แล้วเขาก็พูดประโยคที่ไม่ควรถูกพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แบบนั้น
“Esua ไม่ใช่สเปกของเขา”
คำว่า spec ในที่นี้เป็นศัพท์วัยรุ่น มาจากคำว่า specification
หมายถึงคุณสมบัติหรือแบบที่ชอบ
แต่เวลาใช้กับความรัก มันกลายเป็นสิ่งแคบๆ ที่ลดค่าคนทั้งคนเหลือแค่เปลือกนอก
เหมือนเวลาซื้อรองเท้าแล้วเลือกแค่สี ไม่ดูว่ามันพอดีไหม เจ็บเท้าไหม หรือจะพังง่ายหรือเปล่า
เธอเลยถามคำถามที่คนเป็นแฟนไม่ควรถาม แต่แม่งอดไม่ได้ “แล้วฉัน… เป็น spec ของเธอไหม?”
คำตอบที่ได้คือ “รักเธอไม่เกี่ยวกับเรื่องจุกจิกพวกนี้หรอก”
...คำตอบที่เบากว่าลม แต่หนักกว่าความเงียบ
แต่ในใจเธอรู้สึกว่า คำตอบนั้นก็เหมือนเอาน้ำลูบท้องเวลาหิว — อุ่นแค่แป๊บเดียว แล้วก็ยังหิวอยู่ดี
สุดท้ายเธอไปเล่าให้ Yetunde ฟัง เพื่อนชายที่ดีเหมือนโต๊ะกลางห้องสอบ — ดูแข็งแรงและมั่นคง แต่ก็คอยปัดอารมณ์เธอทุกครั้งด้วยมุกตลก Yetunde หัวเราะแล้วพูดว่า “Maybe he didn’t want to settle”
แล้วคำว่า “settle” นี่มันแทงใจ
เพราะมันไม่ใช่แค่การไม่เอาเรา แต่มันคือการคิดว่าเรา “ต่ำไป” สำหรับเขา — ซึ่งแม่งโหดกว่าการบอกตรงๆ ว่า “ไม่รัก” อีก
เธอเริ่มเห็นลูปของ ex ทุกคนของเขา คนที่ “ดูดี” ตามสูตร คนที่ “มีอะไรบางอย่าง” ที่เธอไม่มี แต่ในใจลึกๆ เธอก็รู้ว่าปัญหาไม่ใช่แค่ Isaiah มันเป็นแผลที่อยู่ก่อนหน้าเขาจะเดินเข้ามา เป็นความกลัวที่เขาแค่ “ไปโดนจุด”
สุดท้าย… เธอวางมือถือ ปล่อยให้รูปของเขาจมหายไปในฟีด และเริ่มเข้าใจว่าเธอไม่ได้อยากให้เขากลับมา แต่เธออยากได้ “ตัวเอง” กลับคืน
- บางความสัมพันธ์ไม่ได้แย่เพราะคนๆ เดียว แต่อาจเป็นเพราะเราไม่เคยเชื่อว่าตัวเองมีค่าพอ
- รองเท้าราคา 15,000 ที่ขายซ้ำทุกวันคือสัญลักษณ์ของอะไรที่ไม่พัฒนา แต่กล้าขายแพง
- ความรักไม่ควรทำให้ใครหดตัวลงภายใน มันควรเป็นที่ที่เรายืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจ
- คำว่า "settle" ในรักแปลว่าเลือกทางสายกลางที่อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ แต่ความรักที่ดีควร “rise together” ไม่ใช่แค่ “อยู่ได้เฉยๆ”
- คนที่ใช้มุกตลกปัดอารมณ์ อาจไม่ได้เย็นชา แต่ซ่อนความเจ็บไว้หลังเสียงหัวเราะ
- บางครั้งสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ให้ใครกลับมา แต่ให้เรา “หายคิดถึงตัวเอง” ได้สักที
สรุปให้แบบกวนๆ แต่จริงใจเลยคือ ถ้าคนมันไม่เห็นค่าเราเหมือนรองเท้าขาดๆ ที่ขายหมื่นห้า ก็อย่าไปเสียเวลาเฝ้าหน้าร้าน รอให้เขา “ลดราคา” เพราะสุดท้าย... คนที่ต้องการเราจริง จะซื้อทั้งใจ แม้มันจะไม่มีแบรนด์เลยก็ตาม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม