เด็กเล็กเข้าใจเรื่องความยุติธรรมผ่านนิทาน “หมาป่ากับลูกแกะ” โดยไม่ต้องเปิดตำรา law of justice ให้งง




เราขอเริ่มด้วยภาพง่ายๆ ที่ทุกคนอาจเคยเจอ เวลาที่เราเปิดหนังสือ “how to succeed in life” หรือ “7 habits of something” แล้วรู้สึกเหมือนกำลังอ่านคู่มือการใช้ไมโครเวฟ คือมันตรงไปตรงมา เข้าใจได้ทันที แต่แห้งเหมือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบไม่ใส่น้ำซุป ในขณะที่ถ้าเราหยิบ “นิยาย” ขึ้นมา กลับได้รสชาติที่ซึมลึกกว่า ทั้งที่มันไม่ได้ตั้งใจสอนเราโดยตรง
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า narrative transportation (การถูกดึงเข้าสู่เรื่องราว) เมื่อสมองเราอินกับการเล่าเรื่อง มันจะลดการต่อต้านข้อมูลและทำให้เราซึมซับบทเรียนโดยไม่รู้ตัว คล้ายการที่เด็กเล็กเข้าใจเรื่องความยุติธรรมผ่านนิทาน “หมาป่ากับลูกแกะ” โดยไม่ต้องเปิดตำรา law of justice ให้งง
ตรงนี้แหละที่นิยายชนะ nonfiction เพราะ nonfiction มักบอกว่า “ทำแบบนี้สิ แล้วชีวิตจะดี” แต่สมองเรามี defense mechanism (กลไกป้องกันตัวเอง) เช่น ความดื้อด้านหรือความรู้สึกว่า “เอ็งรู้ได้ไงว่ากูจะทำได้” ทำให้เนื้อหาถูกตีกลับ ไม่ต่างจากลูกปิงปองกระทบโต๊ะ ส่วนการเล่าเรื่องในนิยายเหมือนแอบซ่อนยาในช็อกโกแลต กินเข้าไปเพลินๆ แต่ได้ผลจริง
ถ้าอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ประถม สมองเราชอบ pattern และ emotion มากกว่า logic ล้วนๆ เวลาที่เราอินกับตัวละคร สมองจะหลั่ง oxytocin (ฮอร์โมนความผูกพัน) ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับบทเรียนในเรื่องนั้น และจำได้ยาวนานกว่า bullet point ที่จบแล้วก็เลือนหายเหมือนสูตรคูณที่เคยท่อง
ในเชิงพุทธ ถ้าอ้างหลัก ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ (การเรียนรู้-การลงมือทำ-การเข้าถึงผล) นิยายมักช่วยให้เราก้าวข้ามจาก “ปริยัติ” ไปสู่ “ปฏิบัติ” ได้ง่ายกว่า เพราะมันกระตุ้นจิตใจ (จิตตสิกขา) ให้เห็นภาพพฤติกรรมจริง ไม่ใช่แค่คำบอกเล่า เช่น การอ่านนิยายที่ตัวละครผิดหวังแต่ไม่ยอมแพ้ สะท้อนหลัก “วิริยารัมภะ” (ความเพียรพยายาม) ได้มีชีวิตชีวากว่าการอ่านคำจำกัดความตรงๆ
เราวิเคราะห์แล้วว่า นิยายไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือสนามทดลองจิตใจ (mental simulation) ที่เราสามารถล้มแล้วลุกซ้ำๆ ได้โดยไม่ต้องเจ็บจริง ผลกระทบต่อสังคมคือทำให้คนเข้าใจมนุษย์มากขึ้น ลดการตัดสิน และเพิ่มความเอื้อเฟื้อในระดับเล็กๆ เช่น การที่ผู้อ่านนิยายรักดราม่า เข้าใจเพื่อนที่กำลังอกหักได้ดีขึ้น
สรุปแบบคนเล่าให้เพื่อนฟังคือ – nonfiction อาจสอนวิธีเดิน แต่นิยายทำให้เราอยากเดินไปเอง – nonfiction อธิบาย “อะไรถูกอะไรผิด” แต่นิยายทำให้เรา “รู้สึก” กับมัน – nonfiction อาจให้คู่มือ แต่นิยายให้แรงบันดาลใจ และแรงบันดาลใจนี่แหละ ที่ขับเคลื่อนทุกคนไปไกลกว่าคู่มือเสมอ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม