เมื่อเช้าเราเลื่อนฟีดไปเจอข่าวว่า Soho House โดนซื้อกิจการไปเรียบร้อย
เมื่อเช้าเราเลื่อนฟีดไปเจอข่าวว่า Soho House โดนซื้อกิจการไปเรียบร้อย ราคาดีงาม $2.7 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ £2 พันล้าน ถ้าเป็นบ้านเรา ทุกคนคงคิดว่ามันคือ “คลับสำหรับสายปาร์ตี้หรู” แต่จริงๆ ต้นกำเนิดมันโคตรติสต์ เปิดครั้งแรกปี 1995 ที่ London Greek Street เหนือร้านอาหารเล็กๆ ของ Nick Jones เอาไว้ให้ “พวกครีเอทีฟจริงๆ” มานั่งกินดื่มแลกเปลี่ยนความคิด
แต่เวลาผ่านไป กลายเป็นว่าคนดังตั้งแต่ Kate Moss, Kendall Jenner ไปจนถึงเจ้าชาย Harry กับ Meghan Markle ก็มานั่งด้วยกันหมด พูดตรงๆ เราแอบนึกภาพถ้าเป็นบ้านเรา ก็คงเหมือนเอานักออกแบบ เสื้อผ้า อินดี้มานั่งข้างนักธุรกิจอสังหา แล้ววันดีคืนดีก็มีนักแสดงฮอลลีวูดเดินเข้ามาซื้อหุ้น
แล้วเรื่องที่สะดุดใจเราคือ… Ashton Kutcher โผล่มาเป็นบอร์ดบริหารจ้า จากนักแสดงที่เล่นบทกวนตีนใน That ‘70s Show จนวันนี้มานั่งเคียงข้างกับ Apollo และ MCR Hotels บริษัทที่ครองตึก TWA Hotel ที่ JFK กับ BT Tower ในลอนดอน ใครจะคิดว่านี่คือเส้นทาง “จากซิทคอมสู่ซิทดาวน์บอร์ดรูม”
ทีนี้คำถามคือ: ทำไมกิจการที่คนดังยกนิ้วว่าพิเศษ ถึงกลับต้องถอยออกจากตลาดหุ้นอเมริกา?
พระพุทธเจ้ามีคำว่า “อนิจจัง” — สรรพสิ่งไม่เที่ยง มันฟังเหมือนธรรมะแต่จริงๆ คือกฎเศรษฐกิจด้วย ทุกอย่างที่เคย “เอ็กซ์คลูซีฟ” ถ้าเราขยายจนเต็มมือ มันก็หมดความหรูพิเศษ เหมือนนักลงทุนที่เห็นหุ้นพุ่ง 14 ดอลลาร์ แล้วพอกลับลงมา 9 ดอลลาร์ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่คลับที่เคยรู้จักแล้ว
นักวิชาการบางคนบอกว่า ความล้มเหลวของ Soho House บนตลาดหุ้นเกิดจากความไม่เข้ากันระหว่าง “โมเดลธุรกิจใช้เวลานานกว่าจะคืนทุน” กับ “ระบบรายงานผลประกอบการรายไตรมาส” ของตลาดทุน มันเหมือนพยายามเอาเต่าไปแข่งวิ่งกับกระต่ายบนสเตจวอลล์สตรีท ผลคือ…ดูช้าไปหมด คนถือหุ้นก็เบื่อ
ในเชิงจิตวิทยา มันคือปรากฏการณ์ FOMO แบบกลับด้าน เราจ่ายแพงเพื่ออยากได้ความรู้สึก “อยู่ในวงใน” แต่พอคนอื่นๆ ได้สิทธิเหมือนกัน เรากลับไม่อยากแล้ว ทั้งที่ประสบการณ์จริงแทบไม่เปลี่ยน แต่ใจเรารู้สึกว่าไม่หรูอีกต่อไป
สิ่งที่เราเรียนจากเรื่องนี้คือ: มูลค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ป้ายราคาหรือรายชื่อคนดังในลิสต์ แต่อยู่ที่เราจะรักษา “ความหมาย” ให้ไม่ถูกเจือจางได้ยังไง
เพราะสุดท้าย ต่อให้คุณมีเงินพาไปนั่งข้าง Harry กับ Meghan แต่ถ้าไม่มีคนที่ฟังเราอย่างตั้งใจ…เก้าอี้ตัวนั้นก็ว่างเปล่าเหมือนเดิม
บางทีความหรูที่สุด อาจไม่ใช่การเข้า “คลับลับ” แต่คือการมีคนที่เราอยากคุยด้วย โดยไม่ต้องรออนุมัติใบสมัครจากใคร
ทุกคนลองคิดดีๆ ว่าเก้าอี้ตัวไหนในชีวิตเราที่จริงๆ แล้วมีค่าที่สุด เพราะไม่ใช่ทุกที่นั่งจะซื้อมาด้วยเงิน แต่บางที่นั่ง…เราต้องจ่ายด้วยความจริงใจ
เราอยากถามกลับ: ทุกคนมี “Soho House” ในใจตัวเองหรือยัง?
บทวิเคราะห์การเข้าซื้อกิจการ Soho House: จาก “คลับลับ” ของคนสร้างสรรค์สู่บทเรียนทางธุรกิจ
ข่าวการเข้าซื้อกิจการ Soho House ในราคา 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยกลุ่มนักลงทุน ซึ่งรวมถึง Ashton Kutcher นักแสดงที่ผันตัวมาเป็นนักลงทุน เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ดีลทางธุรกิจธรรมดาๆ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของ ความหรูหรา (exclusivity) และ คุณค่า (value) ที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกยุคใหม่
การถอยออกจากตลาดหุ้น: ทำไมคลับที่คนดังชื่นชอบถึงไปไม่รอด?
- ความขัดแย้งของโมเดลธุรกิจกับตลาดทุน: โมเดลธุรกิจของ Soho House เป็นแบบที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงในระยะยาวเพื่อสร้างคลับแต่ละแห่ง และใช้เวลาในการคืนทุนนาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับระบบของตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องการเห็นผลประกอบการที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอในทุกๆ ไตรมาส ความไม่เข้ากันนี้ทำให้หุ้นของ Soho House ซึ่งเปิดตัวที่ราคา $14.21 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปี 2021 ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล และราคาดิ่งลงจนเหลือเพียง $9 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
- ความ “ไม่เอ็กซ์คลูซีฟ” ที่ส่งผลต่อคุณค่าของแบรนด์: จุดแข็งที่สุดของ Soho House คือ “ความพิเศษเฉพาะตัว” ที่มอบให้แก่สมาชิก แต่การขยายสาขาอย่างรวดเร็วจาก 1 สาขาในปี 1995 เป็น 46 สาขาในปัจจุบัน ทำให้ความพิเศษนี้ถูกเจือจางลงไป หลายคนมองว่า Soho House ที่เคยเป็นสโมสรสำหรับ “พวกครีเอทีฟจริงๆ” ได้เปิดรับสมาชิกที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงนักธุรกิจหรือบุคคลทั่วไป ทำให้ความรู้สึก “วงใน” ที่เคยมีลดน้อยลงไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการรับรู้คุณค่าของแบรนด์ในสายตาสมาชิกและนักลงทุน
- การเปลี่ยนแปลงในเชิงจิตวิทยา: ปรากฏการณ์ FOMO (Fear of Missing Out) กลับด้าน หรือที่เรียกว่า FOBO (Fear of Better Options) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในช่วงแรก ผู้คนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ “คลับลับ” นี้ แต่เมื่อคลับขยายตัวจนทำให้ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ผู้ที่เคยรู้สึกพิเศษก็อาจจะรู้สึกว่าความหรูหราของมันหายไปแล้ว ถึงแม้ประสบการณ์ที่ได้รับจะยังคงเดิมก็ตาม



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น