ความเวิ่นเว้อที่พาให้ไปถึงจักรวาลคู่ขนานของ "คนที่อาจจะไม่เคยชอบเราเลย"
ความเวิ่นเว้อที่พาให้ไปถึงจักรวาลคู่ขนานของ "คนที่อาจจะไม่เคยชอบเราเลย"
ทุกคนเคยเป็นไหม? นั่งมองฟ้าฝนหรือแชตที่ไม่มีข้อความตอบกลับ แล้วปล่อยตัวเองหลุดเข้าไปในจักรวาลแห่งจินตนาการที่เราเป็นตัวละครเอก? เราไม่ได้พูดถึงการฝันกลางวันแบบธรรมดาๆ นะ
แต่เป็นระดับที่เราสร้างโครงเรื่องให้ตัวเองเหมือนกำลังเขียนนิยายแถมยังตั้งสมมติฐานล้ำโลกว่า "เขาจะรักเรามั้ยถ้าเราทำสิ่งนี้" หรือ "ถ้าเขารู้ว่าเราชอบเค้าจะเกิดอะไรขึ้น?" แล้วจบด้วยความดราม่าในหัวที่อาจจะแพ้รางวัลออสการ์ได้เลย(ไม่ได้ชนะ)
ความจริงนี่มันน่าขำใช่ไหม? เราสามารถใช้เวลา 30 นาทีคิดถึงบทสนทนาในอนาคตกับคนที่อาจจะไม่เคยสนใจเราเลยก็ได้ หรือคิดฉากจบโรแมนติกที่เราเดินจับมือกันใต้พระอาทิตย์ตกดิน เหมือนเป็นฉากสุดท้ายในหนังของ Richard Linklater อย่าง Before Sunset แล้วทุกคนรู้ไหม? ที่เจ็บกว่าการจินตนาการก็คือการตื่นขึ้นมาจากความคิดนั้นแล้วตระหนักว่า "เราคุยกับตัวเองอยู่คนเดียว"
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งรีบตีตราว่าเราบ้า(เพราะเราบ้าจริงๆ) การจินตนาการแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ มันเหมือนเป็นกลไกของสมองที่พยายามสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เรา ลองคิดถึงหนังเรื่อง Inception ของ Christopher Nolan ที่เล่าเรื่องฝันซ้อนฝัน มันคือการสำรวจความลึกซึ้งของจิตใจ เราแค่สร้าง "ฝัน" ของเราในชีวิตจริงขึ้นมาเพราะกลัวความไม่แน่นอน
แล้วทำไมเราถึงชอบเวิ่นเว้อเรื่องคนที่ไม่รู้ว่าเราชอบเขา? คำตอบมันอาจเกี่ยวพันกับปรัชญาของ Søren Kierkegaard นักปรัชญาแห่งความกลัวและความหวัง เขาพูดถึง "ความเป็นไปได้" (Possibility) ว่าเป็นพื้นที่ที่จิตใจมนุษย์สามารถหลงใหลได้ง่ายที่สุด เพราะมันไม่มีคำตอบ ไม่มีการปิดประตูใส่หน้า มีแต่ความเปิดกว้างให้เราลองเขียนบทใหม่ๆ
และนี่คือสิ่งที่เราชอบทำ เราเริ่มจากการคิดถึงข้อความแชตที่ "น่าจะ" ส่งไป แล้วจินตนาการว่าถ้าอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยประโยคที่เราหวังไว้ เราจะรู้สึกยังไง แล้วก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นนิยายความรักต่างๆในหัวเรา แล้วออกมาเป็นผลงาน แต่มันก็เป็นดาบสองคมใช่ไหม? เพราะยิ่งคิด ยิ่งฝัน ยิ่งเจ็บ
แต่ทุกคนรู้ไหม การเวิ่นเว้อแบบนี้มันไม่ได้ไร้ประโยชน์เลยนะ ถ้าคิดในมุมสร้างสรรค์ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานชิ้นเอกก็ได้ ดูอย่าง Jane Austen ที่เขียน Pride and Prejudice หรือ Emily Brontë ที่สร้าง Wuthering Heights พวกเขาอาจจะเริ่มต้นจากความรู้สึกที่ไม่ได้ต่างจากเรามากนัก—แค่คนที่คิดไปไกลเกินกว่าความเป็นจริง
สิ่งที่สำคัญคือการยอมรับความเป็นจริงว่าความเวิ่นเว้อเป็น'ส่วนหนึ่ง'ของชีวิต แต่เราต้องไม่ปล่อยให้มันกลายเป็น 'ทุกอย่าง' เราอาจใช้มันเป็นแรงบันดาลใจเขียนนิยายเรื่องใหม่ เขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต หรือแม้แต่เอามันมาเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วหัวเราะไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ เราขอบอกว่า ถ้าทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวิ่นเว้อแบบเรา อย่าลืมว่าแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเรา หรืออาจไม่เคยสนใจเราเลย แต่ 'ตัวละคร' และ 'ผลงาน' ที่เราสร้างขึ้นจากความรู้สึกนี้ อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เราเคยสร้างในชีวิตก็ได้
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น