การสร้างผลงานที่ยั่งยืน: อย่ามัวแต่กังวลเรื่องความสมบูรณ์แบบ
การสร้างผลงานที่ยั่งยืนในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์และความคาดหวังสูงจากสังคม บ่อยครั้งที่เรามักจะรู้สึกท้อแท้เมื่อไม่สามารถทำผลงานออกมาให้ดีที่สุดตามมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นคนอื่นทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่า หรือได้รับการยอมรับมากกว่าที่เราคาดหวังไว้ อาจจะทำให้เรารู้สึกว่า "ทำไมไม่ทำให้มันสมบูรณ์แบบไปเลย?" ความคิดนี้มักจะเป็นอุปสรรคที่ยิ่งทำให้เราตัดสินใจช้าลง และส่งผลให้ไม่สามารถสร้างผลงานที่ต้องการได้จริง ๆ เสียที
ถ้าเรามองย้อนกลับไปในวิทยาศาสตร์และปรัชญาต่าง ๆ ทั้งตะวันตกและตะวันออก เราจะพบว่าแนวคิดที่เรามักยึดถือเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในจินตนาการของเราเองเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในทางฟิสิกส์ของ "ทฤษฎีความไม่แน่นอน" (Heisenberg Uncertainty Principle) ของนักฟิสิกส์ชื่อดัง "เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก" กล่าวถึงความเป็นจริงที่ไม่สามารถรู้ข้อมูลทุกอย่างได้พร้อมกันอย่างแม่นยำ เราสามารถรู้ความเร็วหรือสถานะของสิ่งหนึ่งได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ทฤษฎีนี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของการพยายามทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์แบบ
ในทำนองเดียวกัน, ในปรัชญาตะวันออกที่ปรากฏใน "ทางสายกลาง" ของพระพุทธศาสนา แนวคิดนี้สอนให้เรารู้จักการเดินในเส้นทางที่ไม่สุดโต่งทั้งสองด้าน ไม่ว่าทั้งในเรื่องความทะเยอทะยานสูงสุดหรือการยอมแพ้ตลอดเวลา แนวคิดนี้ย้ำให้เราตระหนักว่า การดำเนินชีวิตที่ดีที่สุดคือการเดินทางโดยการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สมดุลและยอมรับความไม่สมบูรณ์ที่มีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ในศาสตร์ต่าง ๆ เช่น การเมืองหรือเศรษฐศาสตร์ เรายังเห็นถึงการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและการตัดสินใจที่ต้องทำในสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์เสมอไป เช่น การตัดสินใจทางการเมืองที่ไม่สามารถมีเพียงทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป แต่ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัด การสร้างผลงานไม่ควรต้องรอให้ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
ประสบการณ์การสร้างผลงาน
สำหรับหลาย ๆ คนที่เคยประสบกับการกังวลในการสร้างผลงาน เรามักจะพบว่าความกลัวไม่สมบูรณ์แบบจะทำให้เราล้มเลิกความพยายาม หรือทำให้เราใช้เวลาในการพัฒนาผลงานนานเกินไป เราพยายามที่จะฟังความคิดเห็นจากคนอื่น และหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากผู้อื่นซึ่งทำให้เกิดความเครียดและไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม, การสร้างผลงานที่ดีไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์แบบในครั้งแรก การลงมือทำอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงทุกวันนั้นจะทำให้เราพัฒนาฝีมือได้มากกว่าการนั่งรอคอยความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ๆ
การทำงานในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงฟีดแบ็ค
ในโลกปัจจุบัน เราถูกล้อมรอบด้วยเสียงฟีดแบ็คจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเพื่อน, ครู, หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้า ในการสร้างงานต่าง ๆ หลายคนมักจะรู้สึกว่า "ถ้าไม่มีความคิดเห็นที่ดีจากคนอื่น จะทำต่อไปได้ไหม?" แต่เราก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่สามารถให้ความเห็นที่เหมาะสมหรือถูกต้อง 100% เสมอไป คนที่ให้ความคิดเห็นบางครั้งอาจจะพูดจากมุมมองที่ไม่เข้าใจเราอย่างลึกซึ้ง หรือเขาก็อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในสิ่งที่เรากำลังทำ การฟังเสียงฟีดแบ็คจากคนอื่นไม่ผิด แต่ก็ต้องรู้จักแยกแยะว่าอะไรที่ควรนำมาปรับปรุง และอะไรที่เราควรปล่อยไป
ความสำคัญของการลงมือทำและการมีผลลัพธ์
สิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการสร้างผลงานคือการลงมือทำ ถ้าเรากลัวที่จะทำงานออกมาไม่ดี เราก็จะไม่มีผลงานเลย การสร้างงานต่อเนื่องจะทำให้เราได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าผลงานในแต่ละช่วงจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม และเมื่อเราลงมือทำ เราจะได้พัฒนาและเติบโตในด้านฝีมือและความมั่นใจ
ตัวอย่างจากกีฬา
ในกีฬาเช่น บาสเกตบอล, นักกีฬาที่จะทำการชู้ตในแต่ละรอบ ไม่สามารถคาดหวังว่าจะทำแต้มได้ทุกครั้ง เพราะการชู้ตในสถานการณ์ที่แตกต่างกันมีความท้าทายที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง นักบาสเกตบอลอาชีพเช่น ไมเคิล จอร์แดน หรือ โคบี้ ไบรอันต์ พวกเขาฝึกฝนอย่างหนักและไม่หยุดทำการพัฒนาแม้จะประสบความสำเร็จแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือความสมบูรณ์แบบที่เกิดจากการลงมือทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สรุป
การไม่รอคอยความสมบูรณ์แบบและการลงมือทำเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าในการสร้างผลงาน มันไม่ได้หมายความว่าเราควรทำอะไรแบบขอไปที แต่หมายความว่าเราควรทำให้ดีที่สุดในขณะนั้นและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น การทำงานต่อเนื่องและการไม่กลัวความไม่สมบูรณ์จะทำให้เราเติบโตและพัฒนาได้ดีขึ้นในระยะยาว
สุดท้าย อย่ากลัวที่จะทำ อย่ากังวลกับเสียงฟีดแบ็คจากคนอื่นมากเกินไป เพราะการลงมือทำอย่างแท้จริงจะนำไปสู่การพัฒนาและประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนมากกว่าความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น