เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงยิ่งสนใจใครบางคนมากขึ้น ในขณะที่เขาดูเหมือนไม่สนใจเราเลย
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงยิ่งสนใจใครบางคนมากขึ้น ในขณะที่เขาดูเหมือนไม่สนใจเราเลย หรือทำตัวเป็นไม่ใส่ใจเราไปเสียเฉยๆ เหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังบอกว่า “อย่าไปหวังอะไรเลย” แต่ใจเรากลับตะโกนสวนออกมาว่า “เราต้องการมากกว่านี้!” มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่เรารู้สึกแบบนั้น เพราะมันมีทั้งเหตุผลเชิงจิตวิทยา ปรัชญา และความจริงของธรรมชาติที่หล่อหลอมให้เรารู้สึกแบบนี้
เริ่มจากจิตวิทยาก่อน นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ผลกระทบของสิ่งที่หายาก” หรือ scarcity effect มันเป็นกลไกในสมองที่ทำให้เราตีค่าของสิ่งที่หายากหรือยากจะได้สูงกว่าความเป็นจริง ยิ่งเขาทำตัวเหมือนไม่สนใจเรา เราก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็น “รางวัลใหญ่” ที่เราต้องได้มาให้จงได้ มันเหมือนเวลาเราเห็นคอนเสิร์ตที่บัตรขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่นาที เราไม่ได้อยากไปเพราะอยากฟังเพลงจริงๆ หรอก บางทีเราแค่อยากเป็นหนึ่งในคนที่ “ได้มันมา”
ในเชิงปรัชญา นักปรัชญาอย่างซาร์ตร์เคยพูดถึง “the look” หรือสายตาของคนอื่นที่มองเรา เขาเชื่อว่าความรู้สึกตัวตนของเราบางส่วนถูกสร้างขึ้นจากการที่ผู้อื่นมองเห็นเรา การที่อีกฝ่ายเลือกจะไม่มองเราเลย กลายเป็นเหมือนการทำให้ตัวตนของเราสูญหายไปในจักรวาลเล็กๆ ของเขา และเราจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะดึงตัวเองกลับมาให้มีความหมายในสายตาของเขาอีกครั้ง
ลองมองในมุมศิลปะ เราชอบนึกถึงภาพวาดชื่อ The Son of Man ของเรอเน่ มากริต ที่วาดชายคนหนึ่งใส่สูทยืนสง่างาม แต่หน้าของเขาถูกบังด้วยแอปเปิ้ลสีเขียว เรารู้ว่ามีใบหน้าของเขาอยู่ข้างหลังแอปเปิ้ลนั้น แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้เต็มตา เหมือนกันกับคนที่ทำตัวเหมือนไม่สนใจเรา เขาไม่ได้หายไปจริงๆ แต่เขาแค่ปิดบังตัวเองบางส่วน และเรากลับรู้สึกว่าเราต้องพยายามมองทะลุผ่านแอปเปิ้ลนั้นให้ได้
ในแง่ของกีฬา มันเหมือนกับการแข่งวิ่ง 100 เมตรที่เส้นชัยเลื่อนไปอีกสองเมตรทุกครั้งที่เราวิ่งเข้าใกล้ เราไม่ได้อยากวิ่งต่อเพราะมันสนุก แต่เพราะความสำเร็จอยู่ตรงหน้า เราเชื่อว่าเราต้องถึงสักวัน ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราอาจแค่เหนื่อยฟรี
ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วทำไมคนที่เคยสนใจเราถึงถอยออกมา? นี่คือคำถามที่น่าปวดหัวกว่าเดิม บางครั้งมันอาจเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเขา “ให้เกินไป” แล้วกลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนที่หมดค่าในสายตาเรา หรือบางครั้งเขาอาจรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันเข้มข้นเกินไปจนเขาต้องถอยเพื่อรักษาพื้นที่ของตัวเอง หรือที่โหดร้ายที่สุดคือ เขาอาจจะไม่เคยสนใจเราจริงๆ เขาแค่ต้องการดูว่าเราจะสนใจเขามากแค่ไหน
เราอยากฝากทุกคนไว้ว่า การที่ใครสักคนถอยออกไป หรือทำตัวเหมือนไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าเราขาดคุณค่า ความสนใจหรือความรักจากคนอื่นไม่ได้วัดว่าเราเป็นใคร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราให้คุณค่าในตัวเองแค่ไหน อย่าให้การมองข้ามจากใครมาลดทอนสิ่งที่เราสร้างมาเอง
และถ้าจะสรุปด้วยคำพูดที่ยิ่งใหญ่จากหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่บอกว่า “Blessed are the forgetful, for they get the better even of their blunders.” ขอให้เราจำไว้ว่า การปล่อยมือจากสิ่งที่ไม่ใช่สำหรับเรา อาจเป็นพรที่ทำให้เราเติบโตและเจอสิ่งที่เหมาะสมในวันข้างหน้า
เราว่านี่มันเหมือนฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่ตัวละครของจิม แคร์รีย์ กับเคต วินสเล็ต พยายามจะลบความทรงจำเกี่ยวกับกันและกัน แต่ยิ่งลบ ความทรงจำกลับยิ่งทบทวนเรื่องราวเดิมซ้ำๆ มันเหมือนกับว่าการพยายามลืมทำให้เราจำได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
มีแนวคิดหนึ่งในปรัชญาของเฮเกลที่พูดถึงการดิ้นรนของจิตใจมนุษย์ มันเรียกว่า dialectical tension หรือความตึงเครียดระหว่างสองสิ่งตรงข้าม เมื่อเรารู้สึกว่าความสนใจของอีกฝ่ายหายไป จิตใจเรากลับสร้างแรงต้านเพื่อรักษาสมดุลนั้นไว้ มันเหมือนกับการที่เรารู้สึกว่าโลกหมุนเร็วขึ้นเมื่อเรายืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หรือถ้าจะให้เปรียบกับกีฬา มันก็เหมือนการเล่นเทนนิส คนที่ตีลูกออกไปแล้วกลับไม่รอรับลูกกลับมา มันทำให้เรารู้สึกขัดใจจนต้องตีลูกไปแรงกว่าเดิม เป็นความพยายามจะเรียกความสนใจกลับมา แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ บางทีอีกฝ่ายอาจจะออกจากสนามไปนานแล้ว เราแค่ตีลูกให้ตัวเองเล่นอยู่คนเดียวโดยไม่รู้ตัว
เราว่ามนุษย์เรามีอะไรตลกๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ เราอยากได้สิ่งที่เรารู้ว่าไม่ได้ครอบครอง เช่นเดียวกับตัวอย่างในหนังสือ The Great Gatsby ของฟิตซ์เจอรัลด์ แกสบี้หลงรักเดซี่ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก แต่เพราะเขาไม่อาจเป็นเจ้าของเธอได้ทั้งหมด เธอคือภาพฝันที่ถูกสร้างขึ้นในหัวของเขา และความจริงคือการที่เธอห่างออกไปเรื่อยๆ ทำให้ความปรารถนาในใจเขาแข็งแกร่งขึ้น
เราว่ามันสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ ที่เรามักมองหาความหมายจากสิ่งที่หายไป มากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับศิลปะสไตล์มินิมอลที่ปล่อยพื้นที่ว่างไว้เพื่อให้เราตีความเอง ความว่างนั้นทำให้เราต้องเติมเต็มด้วยจินตนาการของตัวเอง แล้วทุกคนคิดว่ามันเป็นความสวยงามหรือความทรมานกันล่ะ
บางครั้งเราอาจต้องถามตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังไล่ตามนั้นมีคุณค่าจริงๆ หรือมันเป็นเพียงการเติมเต็มความรู้สึก "ขาด" ในใจเรา เพราะถ้าเรามองจากอีกมุม สิ่งที่เรารู้สึกว่าเราต้องการ อาจไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากเท่ากับสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว แต่มนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบทำให้ชีวิตซับซ้อนเพื่อให้มันมีรสชาติขึ้นอีกนิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น