เสียงสะท้อนของความว่างเปล่า
เสียงสะท้อนของความว่างเปล่า
ชีวิตเหมือนการเดินทางในทะเลแห่งความโศกเศร้า บางครั้งเรารู้สึกเหมือนเราหลงทาง คลื่นแห่งความเศร้าและความท้อแท้ซัดเราไปข้างหน้า ทุกๆ วันเหมือนการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ลมหายใจของเราเป็นแค่การพยายามหายใจผ่านความเจ็บปวดที่ซ้อนทับกัน ทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปเหมือนการจมดิ่งลงไปในความมืดมิดที่เราไม่สามารถหลบหนีได้
เรารู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปในโลกที่ไม่มีทางออก เมื่อเราได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์ มันเหมือนกับการได้รับคำสั่งให้ก้าวไปยังเส้นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกๆ อารมณ์ที่สลับไปมาระหว่างความสุขที่ไม่มีขีดจำกัดและความเศร้าที่กลืนกินทุกสิ่งที่เรามี ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายและจิตใจของเรากำลังแตกสลาย เราเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางความเงียบงัน แต่ไม่มีทางที่จะหาทางออกจากมันได้ ความมืดมิดทำให้เราไม่เห็นแสงสว่าง และทุกๆ วันก็เหมือนกับการจมลึกลงไปในสิ่งที่ไม่อาจหลบหนี
ยิ่งเราอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไร ภาพสะท้อนในกระจกก็ยิ่งแปลกไป เราเห็นตัวเองเหมือนกับคนแปลกหน้า เหมือนคนที่เคยมีความหวัง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเปลือกหอยที่ว่างเปล่า เหมือนทะเลที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ภาพของตัวตนที่ไม่เคยรู้จัก คนที่เคยเต็มไปด้วยความฝันกลับถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดและความสูญเสีย
แต่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น เราเริ่มรู้ว่า แสงสว่างที่เราคิดว่าหายไป มันยังคงแอบซ่อนอยู่ในที่มืดมุมหนึ่งที่เราคิดว่ามันไม่มีค่า เราเริ่มเขียน เริ่มขีดเขียนสิ่งที่อยู่ในใจ แม้จะกลัวและสงสัยว่าคำที่เรากำลังเขียนมันจะสำคัญอะไร แต่มันเป็นการปลดปล่อย บางครั้ง การเขียนเหมือนกับการหาทางออกจากความมืด
การเขียนทำให้เรารู้ว่า ทุกๆ รอยแปรงของคำเหล่านั้นคือการก้าวไปข้างหน้า มันเหมือนการหยุดหายใจแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ การเขียนเป็นการสะท้อนสิ่งที่เราอยู่ในใจ แม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่มันก็ทำให้เราเห็นว่า เรายังมีบางสิ่งอยู่ในมือ แม้จะมีเส้นทางที่มืดมิด เส้นสีแดงนั้นก็เหมือนตัวแทนของความโกรธและความเจ็บปวดที่เราต้องเผชิญ ขณะที่เส้นสีเทานั้นคือวันที่เราต้องทนทุกข์และรู้สึกไร้ค่า แต่ท่ามกลางความมืด เราก็เห็นแสงเล็กๆ ของความหวังที่ยังไม่ดับไป
ทุกๆ บรรทัดที่เราเขียนไป มันเหมือนกับการรักษาจิตใจให้เยียวยา บางครั้งการสร้างสรรค์ไม่ได้ต้องการคำตอบทันที แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังก้าวผ่านสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด การเขียนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราผ่านพ้นความทุกข์ มันยังช่วยให้เราเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและสร้างบางสิ่งจากมัน สิ่งที่ทำลายเราอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมายืนได้อีกครั้ง
แผลที่เรามี ไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือเครื่องพิสูจน์ว่าเราเคยผ่านความทุกข์มาแล้ว และแผลเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เราหยุดเดิน แต่มันทำให้เราเติบโตขึ้น เหมือนกระดูกที่หักแล้วสามารถฟื้นตัวได้ใหม่ หัวใจที่แตกสลายก็สามารถกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมได้
การเขียนนิยายช่วยให้เรากลับสู่โลกที่เราสามารถควบคุมได้ มันไม่เหมือนกับชีวิตจริงที่มีเพียงความเจ็บปวดและความไม่แน่นอน ในโลกของจินตนาการ เราสามารถสร้างตัวละครที่มีความหวัง และสามารถกำหนดตอนจบที่เราต้องการได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้การเขียนบรรเทาความเจ็บปวด การได้สร้างโลกที่ไม่เหมือนโลกจริงทำให้เรารู้สึกว่าเรามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แม้ในชีวิตจริงจะไม่มีทางเลือกนั้น การเขียนให้ตัวละครของเราเผชิญหน้ากับความท้าทายและอุปสรรคแล้วได้ชัยชนะ เป็นเหมือนการเยียวยาใจเราเอง เราสามารถเลือกสร้างตอนจบที่เราอยากให้มันเป็น มันเป็นการเติมเต็มบางสิ่งที่เราหายไปในตัวเอง
หากตอนนี้คุณกำลังดิ้นรนอยู่ อยากให้คุณรู้ว่า เราทุกคนไม่ได้อยู่คนเดียว แม้ทางเดินข้างหน้าอาจมืดมิดและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เรายังสามารถเดินไปข้างหน้าได้เสมอ ความมืดไม่สามารถทำให้ความหวังที่อยู่ในใจเราหายไปได้ ทุกๆ ความเจ็บปวดมีความหมาย และบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียนรู้และเติบโต
อย่ากลัวที่จะเผชิญกับความเจ็บปวด เพราะมันคือลำแสงที่จะทำให้เราผ่านมันไปได้ เราอาจจะไม่เห็นเส้นทางในตอนนี้ แต่การก้าวไปข้างหน้าในวันนี้คือการเดินทางที่สำคัญที่สุด ทุกๆ ความมืดจะมีแสงเล็กๆ ที่รอให้เราไปพบ มันอาจจะเล็กน้อย แต่มันคือสิ่งที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้
และเมื่อเรามองเห็นแสงสว่างนั้น เราจะรู้ว่า แม้ความมืดจะยาวนานเพียงใด ความหวังก็ยังคงอยู่เสมอ ถ้าเราหยุดเดิน ความหวังนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเราก้าวไปข้างหน้า ความหวังนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เราจะเห็นเมื่อเราก้าวไปถึงเส้นชัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น