ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน
เราเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมบางคนถึงเลือกที่จะพึ่งพาคนอื่นโดยไม่รู้สึกกระดากอายเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน" ประเภทที่อยู่บ้านเฉยๆ ใช้ชีวิตแบบสบายตัว แต่มองคนอื่นทำงานหนักเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องน่าหงุดหงิด แต่ยังสะท้อนถึงอะไรบางอย่างในสังคมเราที่อาจต้องถกเถียงกัน
ปรัชญาชีวิตแบบพึ่งพา
เรานึกถึงคำสอนของอริสโตเติลเกี่ยวกับ "อเรเต" (Arete) หรือความเป็นเลิศในตัวมนุษย์ เขาเชื่อว่ามนุษย์ควรพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดในศักยภาพของตนเอง แต่คนประเภทนี้กลับดูเหมือนจะพอใจกับการอยู่ในสถานะ "แมงดา" เหมือนกับปลิงที่เกาะอยู่กับบางสิ่งที่ใหญ่กว่าเพื่อดูดเลือดกิน ไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ แต่เพราะเลือกที่จะไม่ใช้มัน สิ่งที่แย่ที่สุดไม่ใช่การไม่มีความสามารถ แต่คือการมีแล้วไม่ใช้มันเลยต่างหาก
ภาพยนตร์ที่นึกถึง
เราอยากเล่าให้ฟังถึงหนังเรื่อง Parasite ของบงจุนโฮ ทุกคนในครอบครัวคิมต่างพยายามหาโอกาสเข้าสู่ชีวิตของครอบครัวที่ร่ำรวย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือพวกเขามี "ความพยายาม" แม้จะอยู่ในวิถีที่ผิด แต่พวกเขาต่อสู้ ดิ้นรน และใช้ความสามารถในการโกหก การแสดง และการวางแผน ในขณะที่ "แมงดา" ประเภทที่เราเจอในชีวิตจริงกลับไม่พยายามอะไรเลย นี่คือความต่าง คนในหนังดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิต แต่คนบางคนกลับเลือกอยู่นิ่งๆ และเกาะกินเฉยๆ
งานศิลปะสะท้อนเรื่องนี้ได้ยังไง
ในผลงานของฟริดา คาห์โล เราเห็นความเจ็บปวดและการต่อสู้ของเธอผ่านภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันและสัญลักษณ์ แม้จะผ่านความทุกข์ทรมานทางกายและใจ ฟริดาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหยุดสร้างสรรค์ แต่คนที่เลือกจะ "เกาะกิน" กลับมองความทุกข์และความพยายามของคนอื่นเหมือนเป็นของฟรีที่เขาสามารถหยิบใช้ได้
กีฬาในฐานะครูชีวิต
ลองนึกถึงนักกีฬาชื่อดังอย่างโคบี ไบรอันต์ เขาเคยพูดว่า “ทุกคนมีพรสวรรค์ แต่สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งโดดเด่นคือความพยายาม” ในสนามบาสเกตบอล ทุกแต้มมาจากการฝึกฝนและความมุ่งมั่น ไม่ใช่การยืนรอให้คนอื่นส่งลูกมาให้โดยไม่ทำอะไรเลย
ความคิดเห็นส่วนตัว
เราไม่ได้บอกว่าผู้ชายทุกคนต้องเป็นซูเปอร์แมน ทำงานหนักจนไม่มีเวลาหายใจ แต่เราเชื่อว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมในชีวิตคู่ ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งต้องทำทุกอย่างเพียงคนเดียว การพึ่งพาใครสักคนโดยไม่มีความพยายามอะไรเลยมันไม่ใช่แค่ขาดความรับผิดชอบ แต่มันคือการเอาเปรียบ และที่สำคัญมันดูไม่เท่เลยจริงๆ
ถ้าใครยังคิดว่าการเกาะคนอื่นกินเป็นเรื่องธรรมดา เราอยากให้ลองคิดถึงประโยคหนึ่งที่เราเคยอ่านในหนังสือ The Road ของคอร์แม็ก แม็กคาร์ธี "ถ้าทุกคนเลือกที่จะรอดโดยใช้ชีวิตจากคนอื่น ชีวิตของเราจะเป็นของใครกันแน่?"
แต่...
เราเคยคิดไหมว่าการที่ผู้ชายเกาะผู้หญิงกินมันมีมุมที่อาจไม่ได้แย่เสมอไป เราไม่ได้จะมาแก้ตัวให้กับผู้ชายประเภทนี้ แต่ลองถอยมาสักก้าวหนึ่งแล้วตั้งคำถามว่า "ทำไม?" ทำไมพวกเขาถึงเลือกเส้นทางนี้ และมันมีอะไรซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ที่อาจทำให้เรามองต่างออกไปได้บ้าง
เริ่มจากเรื่องปรัชญาก่อน
ฌอง-ปอล ซาร์ตร์เคยพูดถึงเสรีภาพและการเลือกในชีวิตว่ามนุษย์ทุกคนมีอิสระที่จะเลือก แต่ก็ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการเลือกนั้น ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินบางคนอาจไม่ได้ขี้เกียจอย่างที่เราคิด แต่อาจกำลังเลือกบทบาทที่เขาเชื่อว่าตัวเองเหมาะสมที่สุดในความสัมพันธ์ บางทีเขาอาจมองว่าเขาสนับสนุนคู่ของเขาในรูปแบบอื่น เช่น ดูแลบ้าน เลี้ยงลูก หรือแม้กระทั่งเป็น "แรงใจ" ในวันที่อีกฝ่ายต้องการ
ภาพยนตร์ที่สะท้อนเรื่องนี้
เรานึกถึงหนังเรื่อง Little Miss Sunshine ครอบครัวที่แสนวุ่นวายนี้เต็มไปด้วยคนที่ "ไม่ได้มาตรฐาน" พ่อที่ไม่มีงานทำ ปู่ที่ติดยา แต่ท้ายที่สุดทุกคนต่างช่วยกันผลักดันให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้ขึ้นเวทีประกวด แม้จะไม่มีใครเป็นฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็ร่วมสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ผู้ชายที่ดูเหมือน "เกาะกิน" อาจไม่ใช่คนไร้ค่าเสมอไป ถ้าเขามีบทบาทบางอย่างที่ช่วยให้ชีวิตของคู่เขาดีขึ้น
มุมมองจากงานศิลปะ
เราชอบผลงานของแอนดี้ วอร์ฮอลที่พูดถึงความธรรมดาในความหรูหรา เช่น กระป๋องซุปแคมป์เบลล์ ใครจะคิดว่าของธรรมดาแบบนั้นจะกลายเป็นงานศิลปะระดับโลกได้ สิ่งนี้ทำให้เราตั้งคำถามว่า "บทบาทของผู้ชายในความสัมพันธ์" มันต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เสมอไปไหม หรือบางครั้งความธรรมดา ความอยู่ตรงนั้นเฉยๆ อาจมีคุณค่าในแบบของมันเอง
กีฬาในฐานะตัวอย่าง
นึกถึงทีมฟุตบอล ทีมที่ดีไม่ได้มีแค่คนยิงประตู คนที่อยู่แนวหลัง หรือคอยส่งลูกก็สำคัญไม่แพ้กัน ผู้ชายที่เลือกเป็นฝ่ายสนับสนุนในความสัมพันธ์อาจเหมือนกับกองหลังที่ไม่มีใครมองเห็น แต่เขาก็ช่วยให้ทีมชนะได้ในที่สุด
มุมส่วนตัว
เราไม่ได้บอกว่าการเกาะกินเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริม แต่ในบางกรณี มันอาจสะท้อนถึงความเข้าใจในบทบาทและความสมดุลในความสัมพันธ์ บางคู่ก็เลือกให้ฝ่ายหนึ่งทำงานหนักเพื่ออีกฝ่ายอยู่บ้านดูแลลูก หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกนับเป็น "งาน" ในสายตาคนอื่น ซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายพอใจและเข้าใจกัน เราว่ามันก็ไม่ผิด
การเป็น "แมงดา" ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้ง่ายๆ แต่บางทีเราควรถามตัวเองก่อนว่า "เกาะกิน" ที่ว่านี้ มันเกาะเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายเดียว หรือเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในแบบที่โลกภายนอกอาจไม่เข้าใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น