เราเคยสงสัยกันไหมว่า ความรักแบบเอรอสที่อริสโตเติลพูดถึงนั้น ถ้ามาอยู่ในยุคปัจจุบัน มันจะปรับตัวเข้ากับ Tinder หรือแอปหาคู่ทั้งหลายได้ยังไง
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ความรักแบบเอรอสที่อริสโตเติลพูดถึงนั้น ถ้ามาอยู่ในยุคปัจจุบัน มันจะปรับตัวเข้ากับ Tinder หรือแอปหาคู่ทั้งหลายได้ยังไง เพราะความรักแบบเอรอสเนี่ย มันไม่ใช่แค่ความรักแบบโรแมนติกหวานๆ แต่มันคือความปรารถนา ความร้อนแรง และความลึกซึ้งที่มักมาพร้อมกับความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ หรือบางทีอาจจะเจ็บจนต้องพึ่งพารูปแบบของ self-help หนังสือ หรือ TEDTalks กันเลยทีเดียว
เราว่าความรักแบบนี้มันน่าสนใจนะ มันเหมือนกับการดูหนังเรื่อง Whiplash ของ Damien Chazelle ที่ตัวละครหลักต้องเผชิญกับความรักที่รุนแรงแบบหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ความรักที่มุ่งไปหาคน แต่เป็นความรักที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จแบบสุดโต่ง ความรักในอุดมคติที่เขาต้องการเป็นมือกลองที่ดีที่สุดในโลก จนต้องยอมเจ็บ ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนตัว นี่ล่ะคือเอรอสที่ถูกบิดเบี้ยวด้วยบริบทของความหลงใหลบางอย่าง ซึ่งถ้าเรามองในยุคปัจจุบัน มันอาจแปลได้ว่า ความรักในรูปแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่คนอีกต่อไป แต่มันแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นได้ด้วย
แต่ความรักแบบเอรอสก็มีอีกด้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กับความเกลียดมากๆ เราเคยคิดไหมว่า ทำไมบางทีคนเราถึงเกลียดคนที่เรารักได้ง่ายดาย หรือทำไมความเกลียดชังถึงเกิดขึ้นจากความรักที่ไม่สมหวัง ถ้าเราย้อนกลับไปดู The Great Gatsby ของ F. Scott Fitzgerald ตัวอย่างที่คลาสสิกสุดๆ คือความรักของ Jay Gatsby ที่มีต่อ Daisy Buchanan ความรักของเขานี่ช่างเอรอสเหลือเกิน คือหลงใหล หมกมุ่น และทุ่มเท แต่ในขณะเดียวกันมันก็แฝงไปด้วยความผิดหวัง ความเจ็บปวด และความรู้สึกที่เกือบจะกลายเป็นความเกลียดต่อสังคมและตัวเองในที่สุด เพราะเขาพยายามสร้างโลกทั้งใบเพื่อเธอ แต่ในความจริงแล้วโลกนั้นมันไม่เคยเป็นของเขาเลย
มาคิดดูดีๆ โลกยุคปัจจุบันของเราไม่ได้ต่างจากสิ่งที่อริสโตเติลหรือฟิตซ์เจอรัลด์เขียนไว้เท่าไหร่ ความรักยังคงเป็นทั้งความสุขและความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน แถมยังถูกซับซ้อนด้วยโซเชียลมีเดีย เราอาจจะชอบโพสต์รูปแฟน แต่ขณะเดียวกันก็แอบหงุดหงิดเวลาพวกเขากดไลก์รูปคนอื่น ความรักที่อยู่ใกล้กับความเกลียดมากแบบนี้มันน่าตลกดีนะ มันเหมือนเราใส่ "ฟิลเตอร์" ของความหวังลงไปในความสัมพันธ์ แต่พอความจริงมันไม่ตรงกับที่หวัง เราก็เริ่มหงุดหงิด รำคาญ หรือแม้แต่โกรธ ทั้งๆ ที่ในตอนแรกเราแค่ "รัก" อย่างเดียวเอง
บางทีเราว่าความรักแบบเอรอสเนี่ย อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนในทุกเวลา มันเหมือนการเล่นกีฬาแบบ extreme ที่มันต้องใช้ทั้งพลัง ความกล้า และการเตรียมตัวที่ดี ไม่งั้นเราก็จะเจ็บตัว หรือไม่ก็เลิกเล่นไปเลย เหมือนความสัมพันธ์ที่คนเราบางทีอาจต้องพักเบรก หรือออกจากเกมไป เพราะเราไม่พร้อมจะรับมือกับความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับความรักแบบนี้
สุดท้ายแล้ว เราว่าความรักแบบเอรอสไม่ใช่ศัตรู มันเป็นเหมือนครูที่สอนให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า "รัก" ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น บางทีอริสโตเติลอาจไม่ได้คิดว่าเอรอสคือความรักที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาแค่ต้องการบอกเราว่า ถ้าคุณจะรักแบบนี้ คุณต้องพร้อมที่จะเจอทั้งด้านดีและด้านร้ายของมันในเวลาเดียวกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น