เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางความสัมพันธ์มันถึงเหมือนงานศิลปะที่ยังวาดไม่เสร็จ ราวกับสีที่ปล่อยหยดลงบนผืนผ้าใบแล้วเราก็ยังไม่กล้าแตะต้องมันอีกครั้ง
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางความสัมพันธ์มันถึงเหมือนงานศิลปะที่ยังวาดไม่เสร็จ ราวกับสีที่ปล่อยหยดลงบนผืนผ้าใบแล้วเราก็ยังไม่กล้าแตะต้องมันอีกครั้ง เพราะกลัวว่ามันจะเสียความสมบูรณ์ที่เรายังจินตนาการไม่จบ หรือกลัวว่าแตะไปแล้ว ผลลัพธ์มันจะไม่เหมือนที่หวัง
ในชีวิตนี้ เราทุกคนล้วนเคยมีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังดูภาพยนตร์ที่ทั้งสวยงามและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน บางครั้งมันก็เป็นเหมือน La La Land ที่เต็มไปด้วยความฝันและความเป็นจริงที่ขัดแย้งกัน เพลงจบลงแต่ความรู้สึกยังติดค้างอยู่ บางครั้งมันก็เหมือนหนังของ Studio Ghibli ที่ทุกความเงียบ ทุกบทสนทนาสั้นๆ เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เราไม่ได้พูดคำว่า "ลาก่อน" แต่การเดินจากไปมันชัดเจนในสายลมและแสงแดดยามเย็น
เราว่าชีวิตคนเราก็เหมือนการอ่านหนังสือปรัชญาที่ไม่มีตอนจบ คำถามมากมายในใจเราอาจไม่เคยได้คำตอบเสียที อย่างเช่น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความรักที่แท้จริง? มันคือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน หรือการยอมปล่อยใครสักคนไปเพื่อให้เขาได้อยู่ในที่ที่ดีกว่า? มีหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Watts เขาเคยเขียนไว้ว่าความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่มันคือการได้เห็นสิ่งที่เรารักเติบโต แม้ในวันที่มันไม่ได้อยู่ในกำมือเราอีกต่อไป
เราเคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้คิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกดีนะ เรารักใครคนหนึ่งจนถึงจุดที่การมีอยู่ของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา แต่ในทางกลับกัน เราก็กลัวที่จะเสียเขาไปมากเสียจนเผลอทำอะไรที่ผลักเขาให้ออกห่าง มันเหมือนกับคนเล่นกีฬาเสี่ยงตายที่รักการดำน้ำลึกมาก แต่ก็รู้ว่าน้ำลึกนั้นสามารถคร่าชีวิตเขาได้ ถ้าเราหยุดกลัว เราอาจจะดื่มด่ำกับความงามนั้นได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้ความกลัวครอบงำ เราก็อาจจะไม่ได้ลงน้ำอีกเลย
ความสัมพันธ์ของคนก็เหมือนการแต่งเพลง เพลงบางเพลงมีเมโลดี้ที่ไพเราะ แต่เนื้อร้องกลับไม่ตรงจังหวะกับความรู้สึก บางครั้งเราฟังเพลงที่เหมือนเป็นเพลงของเรา แต่เราก็ไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งได้ยินเพลงเดียวกันหรือเปล่า คุณเคยได้ยินเพลง “At the Beginning” ไหม? มันเป็นเพลงที่บอกว่า "ไม่ว่าอะไรก็ตาม เรากำลังเริ่มต้นการเดินทางร่วมกัน" แต่บางทีชีวิตมันไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาแบบนั้นกับเรา มันอาจให้เราเจอแค่ "จุดเริ่มต้น" และปล่อยให้เราเขียนตอนจบของมันเอง
สุดท้ายนี้ เราคิดว่าชีวิตคนเราคล้ายกับการเล่นไพ่ทาโรต์ ทุกใบมีความหมายของมันเอง บางครั้งมันบอกถึงความเปลี่ยนแปลง บางครั้งมันบอกถึงความเจ็บปวด หรือบางครั้งมันบอกให้เราหยุดเพื่อมองดูตัวเอง การอ่านไพ่ไม่ได้ทำให้อนาคตเปลี่ยนไป แต่มันช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมเราถึงมาถึงจุดนี้ เราไม่ต้องการรู้อนาคตทั้งหมดหรอก เพราะบางอย่างมันควรเกิดขึ้นพร้อมกับเวลาของมันเอง
และถ้าวันหนึ่งทุกคนรู้สึกว่าความทรงจำเหล่านั้นยังคงสะท้อนอยู่ในใจ เราแค่อยากบอกว่า มันไม่เป็นไรที่จะเก็บมันไว้ในใจเหมือนภาพวาดที่ยังไม่เสร็จดี เพราะบางครั้ง ความสวยงามของชีวิตก็อยู่ตรงที่มันไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น