เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเพื่อนบางคนมันถึงด่าเราได้โหดร้ายระดับต้องเก็บเศษหน้าใส่ถุงกลับบ้าน
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเพื่อนบางคนมันถึงด่าเราได้โหดร้ายระดับต้องเก็บเศษหน้าใส่ถุงกลับบ้าน แต่พออยู่ห่างกันไปก็ยังคิดถึงมันอยู่ตลอด หรือหนักกว่านั้น เวลาไม่อยู่ด้วยกันกลับรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างในชีวิต เหมือนบ้านที่ไม่มีหมาเห่า ทั้งที่ตอนอยู่ด้วยกันก็เหมือนซื้อตั๋วชมคอนเสิร์ตอารมณ์เสียวันละสามรอบ
นี่มันคืออะไร? ความรักความห่วงใยในแบบที่เราเข้าใจ หรือจริงๆ แล้วเป็นเพื่อนรักที่มีส่วนผสมของความโกรธ ความหมั่นไส้ และความผูกพันชนิดที่แกะไม่ออก? เราลองมองเรื่องนี้ด้วยสายตาที่เบิกกว้างขึ้นนิดนึง เพราะมันอาจเป็นอะไรมากกว่าแค่ “มันด่าเพราะห่วง” หรือ “เราอดทนเพราะรัก”
---
**ปรากฏการณ์นี้มันอธิบายได้ในงานศิลปะ ความรู้สึกแปลกๆ ระหว่างเพื่อนแบบนี้อาจคล้ายกับงานของฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ศิลปินที่ชอบวาดภาพที่ดูเหมือนกรีดกรายความเจ็บปวดของมนุษย์ออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภาพหนึ่งที่เราชอบคือ "Study After Velázquez's Portrait of Pope Innocent X" ที่ทั้งสวยงามและหลอนประสาทในเวลาเดียวกัน เพื่อนรักที่ด่าเราเจ็บแสบก็ไม่ต่างกันเลย มันทั้งทำให้เราเกลียดในตอนที่มันกรีดเสียงวิจารณ์ แต่พอมองลึกๆ ในชั้นความสัมพันธ์แล้ว เราจะเห็นว่าเรากับมันมีโครงสร้างที่ซับซ้อนเกินจะเข้าใจได้ด้วยความคิดตื้นๆ
เราว่าปัญหานี้มันน่าสนุกตรงที่มันคล้ายกับการรับชมภาพยนตร์เรื่อง Whiplash คนดูเรื่องนี้อาจมีสองอารมณ์ในเวลาเดียวกัน รักและเกลียดตัวละครโค้ชในเรื่อง โค้ชมันโหดร้ายจนบางครั้งเราอยากกระโดดข้ามจอไปต่อยหน้า แต่ในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจดีว่าความโหดนั้นมีเจตนาดี เจตนาที่ต้องการผลักดันพระเอกให้ถึงจุดที่เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
---
เพื่อนรักที่ด่าเราจนอึ้งไปสามวันนั่นก็คงคล้ายๆ กัน มันทำแบบนั้นเพราะมันคิดว่ามันช่วยเราอยู่ แต่ปัญหาคือมนุษย์ไม่ได้สร้างมาเพื่อรับคำด่าโดยอัตโนมัติ เราจะมีคำถามเสมอว่า “ทำไมต้องแรงขนาดนี้”
แล้วนี่ก็มาถึงคำถามที่ทุกคนรอคอย เราจะหาทางออกยังไงกับเรื่องนี้? จะหยุดความรู้สึกแย่จากเพื่อนที่ด่าเจ็บได้ยังไง หรือควรห่างจากมันดีไหม
---
เราอยากบอกว่า ทุกคนควรเข้าใจธรรมชาติของความสัมพันธ์ก่อน ความสัมพันธ์ทุกชนิดมันมีมิติที่หลากหลาย มันไม่แบนเหมือนแผ่นซีดี แม้ว่าบางทีมันจะให้ความรู้สึกเหมือนโดนดีดกลับมาตลอดเวลาที่เถียงกัน วิธีที่ดีที่สุดคือเปิดอกคุยกันแบบไม่มีกำแพง ต้องบอกมันไปตรงๆ ว่า “แก รู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงตอนแกพูดแบบนั้น” ให้มันรับรู้ว่าในขณะที่มันรู้สึกว่ากำลังช่วยเรา แต่สิ่งที่มันพูดนั้นกำลังทำให้เรารู้สึกพัง
ถ้ามันยังไม่เข้าใจ ก็ให้ถามตัวเองว่า เราพร้อมจะรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไว้ไหม บางทีมันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเลือกห่างออกไป ไม่ใช่ว่าเราจะเสียเพื่อนไปตลอดกาล แต่บางช่วงของชีวิตก็ต้องการระยะห่างเพื่อเยียวยาความรู้สึกของตัวเอง
แต่พออยู่ห่างกันกลับรู้สึกคิดถึงจนงงว่าตกลงรักหรือเกลียดกันแน่ บางทีเราอาจคิดว่า "เอ๊ะ คนแบบนี้มีความสุขกับการได้ด่าเรารึเปล่า หรือว่าเราเองที่ทำงานได้ไม่ถึงฝีมือมหัศจรรย์ของเขา" เหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนจะท็อกซิกแต่ดันกลายเป็นมุกในชีวิตที่เราขำไม่ออกตอนนั้น แต่ผ่านมาแล้วกลับหัวเราะอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า
ปรากฏการณ์นี้เหมือนกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Whiplash (2014) จำไหมครูที่โหดจนเกินมนุษย์ แต่ดันทำให้พระเอกเล่นกลองจนเทพได้ คือ Fletcher ตัวละครครูที่เหมือนจะทำให้นักเรียนอยากเลิกเล่นดนตรีทุกวินาที แต่สุดท้ายกลับสร้างผลงานที่กลายเป็นตำนานในโรงเรียน แต่พอเราเจอ "Fletcher" ของเราในชีวิตจริงที่ออฟฟิศหรือในวงเพื่อน ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า "นี่เธอตั้งใจช่วยเราจริงๆ หรือแค่อยากมีเหตุผลมาระบายอารมณ์กันแน่"
บางทีเรื่องนี้ก็อธิบายง่ายมากจากปรัชญาคนขี้ขลาดนั่นแหละ เช่น Nietzsche เคยพูดไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความยิ่งใหญ่ แต่ในความยิ่งใหญ่นั้น ไม่มีใครบอกว่า "ต้องอ่อนโยนกับคนรอบข้าง" ไง ครูใน Whiplash ไม่สนว่าจะทำให้ใครเสียใจ สนแค่ว่าผลงานต้องเป๊ะ หรือถ้าเอาง่ายๆ ความพยายามของเพื่อนเราอาจไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ บางครั้งมันก็เป็นการแสดงออกถึงความคาดหวัง ความทุ่มเท ที่มันมีให้กับงาน มากกว่ากับตัวเรา
และเราว่าทุกคนอาจจะมี "เพื่อน Fletcher" ในชีวิตของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อนคนนี้คือแบบคนที่เวลาอยู่ใกล้ รู้สึกว่าวันนี้โดนด่าจนเจ็บแสบเหมือนโดนสะเก็ดระเบิดในสนามเพลาะ แต่พอห่างไปสักอาทิตย์ รู้สึกคิดถึงพลังบ้าคลั่งประหนึ่งวิดีโอเกมไม่มีบอส แต่ดันเรียลและจริงใจซะเหลือเกิน ปรัชญาวงแตกคืออย่าเพิ่งยึดติดกับคำพูดตอนนั้นไปหมด ลองมองลึกไปว่าเขาตั้งใจด่าเพราะหมั่นไส้หรือหมั่นรัก และถ้าเกิดเผลอไปทำงานไม่เป๊ะจริง อย่าทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นหมานาน ลุกขึ้นมากัดฟันตั้งใจปรับปรุงมันบ้างเป็นของตัวเอง
ทุกคนอาจนึกถึงครั้งสุดท้ายที่โดนเพื่อนแรงๆ ด่าแบบน้ำตาซึม ถ้าเป็นงานกลุ่ม แทนที่จะโทษว่า "เราไร้ความสามารถ" อาจลองฟังคำด่านั้นให้ดี อาจมี feedback ที่คมกริบเกินศัตรูให้ได้เก็บเกี่ยว แต่ถ้ามันกลายเป็นสิ่งที่มีแต่ด่าว่ามันสะใจกว่าเรื่องงาน วันหลังเอาไปถามตรงๆ ก็ไม่เสียหายนะ บางทีเพื่อนเราก็เป็นคนหงุดหงิดที่ไม่รู้วิธีบอกว่าต้องการอะไร ซึ่งนี่เหมือนกับในกีฬาอ่ะ ลองดูโค้ชกีฬาใหญ่ๆ สิ ชอบตะโกน “ใส่พลังสิวะ!” แล้วปล่อยนักกีฬาไปวิ่งจนเข่าทรุดทุกการซ้อม ทั้งหมดเพื่อให้เกมหนึ่งออกมาชนะ วงการทำงานไม่ต่างกันแค่ไม่ได้มีเหรียญทองมาแจก
สุดท้ายแล้วนะ เราว่าปรัชญาเรื่องเพื่อนแรงๆ แบบนี้คงหนีไม่พ้นคำว่า “เป็นไปเพราะใจอยากให้เราดีขึ้น” แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องทนอยู่กับทุกคนที่พูดไม่เพราะ เพียงแต่มองหาสมดุลกันบ้างว่าสิ่งที่เพื่อนพูดมันช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นมั้ย หรือตกลงแค่ซาดิสต์ไปวันๆ
เจออะไรแบบนี้ เราอยากบอกว่ามันขำก็ดี ฮาก็โดน แล้วเอามานั่งพินิจให้ฉลาดขึ้น ถ้าจะเดินหน้าไปด้วยเพื่อน ก็อาจไม่ได้ผิดที่เขาคาดหวังแรง เราแค่ฝึกฝีมือรับดาเมจให้สนุกพอ ยันลุกไปเล่นต่อตอนได้โอกาส
สรุปแล้วการที่เพื่อนรักด่าเราแรงๆ มันอาจเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนความจริงของชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ ว่าแม้แต่ในความรักและมิตรภาพ มันก็ยังมีมุมที่เจ็บปวด การจัดการกับความเจ็บนี้ไม่ใช่การเก็บความรู้สึกนั้นไว้จนเราพัง แต่ต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสาร และบางครั้งต้องกล้าพูดว่า “พอแล้ว แกควรหยุดตรงนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น