ทำไมคนเราต้องอยากได้อะไรจาก Tiffany & Co. หรือ Swarovski ด้วย
เมื่อวานเดินผ่านร้าน Tiffany & Co. ในห้าง กล่องฟ้าเล็กๆ นั่นยังคงวางเด่นอยู่ในตู้กระจกแสงสะท้อนวิบวับเหมือนเคย เราหยุดมองอยู่พักใหญ่ โดยไม่ได้สนใจตัวเรือนเงินหรือเพชรอะไรหรอก สิ่งที่สะดุดตามากกว่าคือ คนที่เดินออกมาจากร้าน ดูมีความรู้สึกเหมือน “ได้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ของ”
คำถามก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า ทำไมคนเราต้องอยากได้อะไรจาก Tiffany & Co. หรือ Swarovski ด้วย ในเมื่อถ้ามองจากสายตาคนทำฟิสิกส์หรือเคมี มันก็คือธาตุคาร์บอน (เพชร) หรือซิลิกา (คริสตัล) ธรรมดา ที่หากหักล้างความรู้สึกออกไปเหลือแต่สมการ มันก็ไม่ได้ต่างจากเศษแก้วสักเท่าไหร่
แต่ในโลกจริง การที่ “กล่องหนึ่งใบ” ทำให้คนรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาได้ แสดงว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่ “ความหมาย” มีค่ามากกว่าตัววัตถุจริงๆ
– Tiffany & Co. ไม่ได้ขายแค่เครื่องประดับ แต่ขาย “ความรู้สึกว่าถูกเลือก”
– Swarovski ไม่ได้ขายคริสตัลธรรมดา แต่ขาย “ความรู้สึกว่ากำลังเปล่งประกาย”
ถ้ามองจากแง่มุมจิตวิทยา นี่คือกลไกที่เรียกว่า symbolic compensation (การชดเชยเชิงสัญลักษณ์) คือเมื่อคนเรารู้สึกพร่องหรือขาดอะไรบางอย่างในชีวิต เช่น ความรัก ความมั่นใจ การเป็นที่ยอมรับ เราจะพยายามหาสิ่งอื่นมาทดแทนที่ทำให้รู้สึกว่าเรา "มีค่า"
ซึ่งไม่ผิดอะไรเลย เพราะมนุษย์มีความต้องการพื้นฐานในการรู้สึกว่าตัวเอง “มีความหมาย” เช่นเดียวกับที่เราหิวข้าวและต้องกิน คนเราก็หิวคุณค่าและต้องเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา
ถ้ามองจากหลักพุทธ ก็คงตรงกับคำว่า “ตัณหา” ในรูปแบบหนึ่ง ที่หมายถึงความอยาก (อยากได้ อยากมี อยากเป็น) ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกให้ไปเกลียดความอยาก แต่ให้เรา เห็นความอยากอย่างที่มันเป็น แล้วค่อยๆ ฝึกลดการยึดติด (อุปาทาน)
หรือในกรณีนี้ อาจสรุปได้ว่า เครื่องประดับไม่ใช่ปัญหา แต่การเชื่อว่าเครื่องประดับจะเติมเต็มความว่างในใจตลอดไปต่างหากที่เป็นปัญหา
เราเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ได้รับกล่อง Tiffany แต่ไม่ได้รู้สึกดีใจเลย เพราะคนให้ไม่เคยถามว่าชอบอะไร หรือรู้จักกันจริงแค่ไหน ซึ่งมันก็สะท้อนว่า การให้สิ่งที่มีค่าทางวัตถุแต่ขาดคุณค่าทางใจ ก็ยังทำให้คนรู้สึก “ว่าง” อยู่ดี
บางคนซื้อ Swarovski ให้ตัวเอง เพราะเป็นเครื่องเตือนใจว่า “เคยลุกขึ้นยืนได้หลังล้มครั้งใหญ่” แบบนี้คือ การสร้าง meaning อย่างมีสติ ซึ่งเราว่าน่ารักและทรงพลังยิ่งกว่าเพชรเม็ดไหนในโลก
ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าอย่าไปซื้อของแบรนด์ หรือไปแอนตี้ความหรูหรา ตรงกันข้าม เราว่ามันสนุกดีถ้าทุกคนรู้ทันสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ รู้ว่ากำลังซื้อของ หรือกำลังซื้อความรู้สึกบางอย่างที่ลึกกว่านั้น
และถ้าวันหนึ่งความรู้สึกดีๆ ไม่ได้มาจากกล่องสีฟ้า หรือกล่องใสคริสตัล แต่เกิดจากการได้เข้าใจตัวเอง รู้ว่าชีวิตไม่ต้องเปล่งประกายตลอดเวลา แต่แค่รู้ว่าแสงในใจเรายังอยู่ ก็อาจเป็นของขวัญที่มีค่ากว่าแบรนด์ไหนๆ ทั้งหมด
เราคิดว่า ถ้ามนุษย์เรียนรู้ที่จะมอบ “ความหมาย” ให้สิ่งธรรมดาๆ ได้มากขึ้น โลกอาจจะไม่ต้องอวดเพชรกันบ่อยนัก แต่จะได้อวดรอยยิ้มที่เบาใจแทน
อย่างน้อย…ก็เป็นเพชรที่ไม่ต้องขัดเงาทุกวัน
ฝากให้ทุกคนลองถามตัวเองดูบ้างว่า
“สิ่งที่ฉันอยากได้ตอนนี้…มันคือวัตถุ หรือความรู้สึกที่อยู่ข้างในวัตถุนั้นกันแน่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น