ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

เรื่องที่แนะนำ

เราเห็นว่าหลายคนเคยตั้งเป้าหมายว่าจะอ่านหนังสือมากขึ้น ซึ่งฟังดูเป็น mission

เราเห็นว่าหลายคนเคยตั้งเป้าหมายว่าจะอ่านหนังสือมากขึ้น ซึ่งฟังดูเป็น mission (ภารกิจ) ที่น่าภูมิใจ แต่พอเจาะลึกลงไปก็พบว่าคนจำนวนไม่น้อยเลือกอ่านหนังสือ non-fiction (หนังสือสารคดี/พัฒนาตนเอง) เพราะมันดูจริงจังและจับต้องได้มากกว่า ส่วนการอ่านนิยายกลับถูกมองว่าเป็นเรื่อง “เล่นๆ” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่เล่นเลย ลองนึกภาพเวลาเราอ่านหนังสือจิตวิทยาพัฒนาตนเอง เขามักจะให้ checklist (รายการตรวจสอบ) แบบ 1 2 3 4 – ตั้งเป้าหมาย – วางแผน – ลงมือทำ – ทบทวนความก้าวหน้า ทั้งหมดนั้นมีประโยชน์ แต่ถามว่าอีกหนึ่งเดือนผ่านไปเรายังจำได้เป๊ะๆ ไหม ส่วนใหญ่ก็คือไม่ หรือถ้าจำได้ก็เหมือนจำสูตรคณิตศาสตร์ที่เคยท่องจนสอบเสร็จแล้วลืม ในทางตรงกันข้าม การอ่านนิยายทำงานกับสมองไม่เหมือนกัน สมองเราไม่ได้จดจำเป็น bullet point แต่จำเป็น “ประสบการณ์” เช่น ตัวละครเจอเพื่อนหักหลังแล้วเขาจัดการความรู้สึกอย่างไร ตัวละครสอบตกแล้วเลือกจะลุกขึ้นมาใหม่แบบไหน นี่แหละคือการ encode (เข้ารหัส) ความรู้ในรูปแบบที่สมองชอบมากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องราวและอารมณ์ที่เชื่อมโยง งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) บอกไว้ชัดว่าการอ่านนิยาย...

โพสต์ล่าสุด

มีคนเคยพูดเล่นๆ ว่า การทำงานกับเพื่อนก็เหมือนการเล่นเกม co-op

ตอนนี้เราทำสิ่งหนึ่งไม่ได้แต่เราอยากจะทำให้ได้ก่อนเราจะแก่ไปกว่านี้

เวลาเราเดินในกรุงเทพฯ สิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดไม่ใช่ตึกสูงหรอก

เมื่อเช้าเราเลื่อนฟีดไปเจอข่าวว่า Soho House โดนซื้อกิจการไปเรียบร้อย

สหราชอาณาจักร (UK) ได้ออกคำสั่งที่ฟังดูไม่ธรรมดาเลย คือไปขอให้ Apple เปิด “ทางเข้าลับ”

หุ้น Intel (INTC) ตอนเย็น หลังตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กปิด

เด็กเล็กเข้าใจเรื่องความยุติธรรมผ่านนิทาน “หมาป่ากับลูกแกะ” โดยไม่ต้องเปิดตำรา law of justice ให้งง

การอ่านนิยาย (fiction) มันดีกว่าการอ่าน self-help หรือ nonfiction ยังไง

เราเคยเห็นเด็กคนนึงพยายามแก้โจทย์คณิตศาสตร์ แล้วหัวเราะทั้งน้ำตาเพราะคิดผิดซ้ำๆ ไหม?

มิจฉาทิฏฐิ ย่อมกัดกินปัญญา เหมือนหนอนในผลไม้